กลายเป็นที่พูดถึงทันทีสำหรับ วินเซนต์ อบูบาการ์ ศูนย์หน้าทีมชาติแคเมอรูน ของสโสมร อัล นาเซอร์ ที่ออกมายกยอตัวเองว่าเขานั้นมีความสามารถไม่ต่างจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวเตะทีมชาติอียิปต์ของ ลิเวอร์พูล เพียงแต่ไม่ค่อยได้รับโอกาส
หัวหอกทีมชาติแคเมอรูน วัย 30 ปี มีชื่อเต็มว่า วินเซนต์ ไรอัน อบูบาการ์ เกิดเมื่อวันที่ 22 มกราคม 1992 ในเมือง ยาอุนเด ประเทศแคเมอรูน คุณพ่อและคุณแม่ของเขาเป็นนักฟุตบอลที่เล่นอยู่ในลีกสมัครเล่นทั้งคู่ ก่อนจะพบรักกัน และมีลูกถึง 8 คน
อบูบาการ์ เป็นลูกคนที่ 5 ของครอบครัว ไม่แปลกที่เขาจะชื่นชอบฟุตบอล เพราะนอกจากพ่อแม่ของเขาแล้ว พี่น้องชายหญิงของเขาก็มักจะเล่นฟุตบอลกันในทุกๆวันบนท้องถนน ซึ่งแรกเริ่มนั้น อบูบาการ์ รับอาสาเป็นผู้รักษาประตู
อบูบาการ์ ขึ้นชื่อเป็นผู้รักษาประตูที่เหนียวที่สุดในย่านนั้น อีกทั้งเขายังมีความสามารถรอบด้านที่ดีพอจะเล่นในตำแหน่งอื่นๆได้ และนั่นทำให้ค้นพบตัวเอง รวมถึงอยากพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ได้ยินมาว่าลูกบอลกลมๆ ธรรมดาๆ สามารถเปลี่ยนชีวิตความยากจน ไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้
ด้วยความที่ชื่นชอบ โรนัลดินโญ่ และมักจะเลียนแบบยอดตำนานชาวบราซิลอยู่เสมอ อบูบาการ์ ตัดสินใจเลิกใช้มือเปลี่ยนตัวเอง มาเล่นกองหน้า เนื่องจากมีความคิดว่าตำแหน่งนี้จะดึงดูดสายตาโค้ช และแมวมองได้มากกว่าการเป็นผู้รักาษาประตู และมันก็เป็นจริงอย่างนั้น เมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลสำหรับเยาวชน ที่เรียกกว่า ท็อป คัพ อบูบาการ์ วัย 12 ปี ร่วมกันกับเพื่อนๆและลูกพี่ลูกน้อง คว้าแชมป์มาได้สำเร็จ และอาบูบาการ์ เองก็ได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมด้วย
อบูบาการ์ ได้รับเชิญให้ไปทดสอบฝีเท้ากับ บราสเซรีส์ อคาเดมี ทีมท้องถิ่น ก่อนจะสร้างความประทับใจและได้รับเลือก และด้วยความที่อคาเดมีแห่งนี้มักจะแมวมองจากสโมสรดังๆในประเทศแวะเวียนมาดูเช็กเด็กๆอยูเสมอ วันหนึ่ง คริสตอฟ อุสมานู หัวหน้าเยาวชนของ คอตอน สปอร์ต ยอดทีมในแคเมอรูน ก็มายื่นข้อเสนอให้กับเขา และย้ายไปร่วมทีมในที่สุด ตอนอายุ 14 ปี
อบูบาการ์ กลายเป็นนักเตะที่ยิ่งประตูสูงสุดในการแข่งขันเยาวชนให้กับทีม คอตอน สปอร์ต ก่อนจะใช้เวลา 2 ปี เลื่อนขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2009/10 ทั้งยังช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 10 ในฤดูกาลเดียวกันนี้
ด้วยฟอร์มอันน่าทึ่ง ทำให้ อบูบาการ์ วัย 18 ปี ถูกหนีบติดทีมชาติแคเมอรูน ชุดใหญ่ ไปฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ อย่างเซอร์ไพรส์ สร้างความชื่นมื่นให้กับครอบครัว และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง วาล็องเซียนส์ สโมสรในฝรั่งเศส ก็โน้มน้าวใจครอบครัว และคอตอน สปอร์ตดึงตัวเขาไปร่วมทีมได้สำเร็จ ท่ามกลางความสนใจจาก โมนาโก และอันเดอร์เลชต์
อย่างไรก็ตามการต้องปรับตัวมาเล่นในยุโรป รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ ดูจะยากลำบากสำหรับเขา ทำให้ 3 ฤดูกาลที่อยู่กับ วาล็องเซียน เขายิงไป 15 ประตูเท่านั้น จากการลงสนาม 81 นัด
ฤดูกาล 2013/14 เป็น ลอริยงต์ ที่สนใจและดึงตัวเขามาร่วมทีม ซึ่ง อบูบาการ์ ก็เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ดีขึ้น ฤดูกาลแรก ยิงไป 17 ประตู จากการลงสนาม 38 นัด ทำให้ปีต่อมา ปอร์โต ยักษ์ใหญ่จากโปรตุเกส ตัดสินใจคว้าตัวเขามาร่วมทีมในที่สุด
ฤดูกาลแรกกับ ปอร์โต อบูบาการ์ ยังไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามเท่าไหร่นัก แต่ในฤดูกาล 2015/16 เขาขยับขึ้นมาเป็นตัวจริง และทำผลงานยอดเยี่ยม ยิงไป 18 ประตู จาก 42 นัด ก่อนจะถูกยืมตัวไปเล่นกับ เบซิกตัส ในตุรกี ก็ยังยิงต่อเนื่อง โดยทำไป 19 ประตูจาก 38 นัด แถมยังคว้าแชมป์ลีกตุรกี กับทีมอีกด้วย และเมื่อกลับมาเล่นกับปอร์โต ในฤดูกาล 2017/18 ก็ยิงไปอีก 26 ประตูจาก 43 นัด คว้าแชมป์ลีกโปรตุเกส อีกรายการ
อย่างไรก็ตามในช่วงฤดูกาล 2018/19 และ 2019/20 อบูบากา มีอาการบาดเจ็บ และไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามเท่าไหร่นัก ทำให้ฟอร์มที่กำลังดีๆหยุดชะงักไป จนฤดูกาล 2020/21 เบซิกตัส ตัดสินใจซื้อเขากลับมาร่วมทีมอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็กลับมาระดับฟอร์ม ยิงไป 16 ประตูจาก 29 นัด พร้อมกับคว้าดับเบิลแชมป์กับทีม
ปัจจุบัน อบูบาการ์ ค้าแข้งอยู่กับ อัล นาสเซอร์ ในซาอุดิอาระเบีย ลงสนามไป 33 นัด ยิงไป 11 ประตู ขณะที่ในส่วนของทีมชาติแคเมอร์รูน ก็เป็นตัวหลักเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2010 ซัดไปแล้ว 33 ประตู
คงต้องแล้ววิจารณญาณของแต่ละคนว่าจะมอง อบูบาการ์ เหนือกว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือไม่ แต่การที่เจ้าตัวเป็นคนพูดออกมาเอง พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่าเขาเองก็มีความมั่นใจในฝีเท้าตัวเองไม่น้อย และในศึกฟุตบอลโลก 2022 เชื่อว่าจะมีสายตาจับจ้องไปที่เขามากขึ้น