ฝ่ายจัดการแข่งขันแกรนด์สแลมวิมเบิลดัน ตัดสินใจอนุญาตให้นักเทนนิสจากรัสเซีย และยูเครนลงแข่งขันในปีนี้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ธงเป็นกลาง
ย้อนไปเมื่อปี 2022 ฝ่ายจัดการแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลมที่ 3 ของปีที่ประเทศอังกฤษอย่าง วิมเบิลดัน ประกาศแบนนักเทนนิสจากรัสเซียและเบลารุสเข้าร่วมแข่งขันเนื่องจากต้องการแสดงความต่อต้านกรณีที่ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ส่งกองกำลังทหารเข้าทำสงครามรุกรานใส่ยูเครน ขณะที่เบลารุสก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้ฝั่งรัสเซียด้วย
จากเรื่องดังกล่าวมีฝ่ายที่เห็นด้วยเนื่องจากมองว่า เป็นการแสดงจุดยืนเรื่องต่อต้านสงคราม ขณะที่ก็มีฝ่ายซึ่งไม่เห็นด้วย นำโดย สมาคมเทนนิสหญิงอาชีพ (ดับเบิลยูทีเอ) และสมาคมเทนนิสอาชีพชาย (เอทีพี) ซึ่งได้สั่งปรับฝ่ายจัดการแข่งขัน พร้อมขู่ว่า หากพวกเขายังคงแบนนักเทนนิสจากรัสเซีย และเบลารุส พวกเขาก็อาจจะยกเลิกสมาชิกภาพของสมาคมลอนเทนนิสแห่งอังกฤษ
จากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้การแข่งขัน วิมเบิลดัน 2023 ที่จะเกิดขึ้นในเดือน ก.ค. นี้ วงการเทนนิโลกได้มีการจับตาว่าสุดท้ายแล้ว สมาคมลอนเทนนิสอังกฤษ และออล อิงแลนด์ คลับ จะอนุญาตให้แร็กเกตจากรัสเซีย และเบลารุสลงชิงชัยหรือไม่
จนล่าสุด เอียน ฮิววิตต์ ประธานออล อิงแลนด์ คลับ ให้สัมภาษณ์ว่า วิมเบิลดัน 2023 จะอนุญาตให้นักเทนนิสจากรัสเซีย และเบลารุส สามารถกลับมาแข่งขันได้ แต่พวกเขายังแสดงจุดยืนเรื่องการต่อต้านสงครามอยู่ หลังจากหารือกับรัฐบาล รวมถึงลอนเทนนิสสมาคมแล้ว “เรายังคงประณามการรุกรานอย่างผิดกฎหมายของ รัสเซีย โดยสิ้นเชิง และการสนับสนุนด้วยใจจริงของเรายังคงอยู่กับประชาชนชาวยูเครน นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากอย่างเหลือเชื่อ โดยมันไม่ใช่การพิจารณาแบบผิวเผิน หรือไม่คำนึงถึงผู้ที่จะได้รับผลกระทบ”
โดยถึงแม้ว่าแร็กเกตจากรัสเซีย และเบลารุส จะได้ไฟเขียวให้เข้าร่วมชิงชัยใน วิมเบิลดัน 2023 แต่พวกเขาจะต้องลงแข่งขันภายใต้ธงเป็นกลาง นอกจากนั้นบรรดาผู้เล่นจะต้องลงนามในคำประกาศความเป็นกลางเพื่อแข่งขัน ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนกฎในเรื่องความเป็นกลาง หรือมีการแสดงท่าทีสนับสนุนทั้ง 2 ประเทศดังกล่าวก็จะโดนบทลงโทษตั้งแต่การปรับจนถึงการไล่ออกจากการแข่งขัน
อย่างไรก็ตามหลังจากการประกาศอนุญาตให้นักเทนนิสรัสเซีย และยูเครน ร่วมแข่งขัน วิมเบิลดัน นั้นทาง ยูเครน ก็ออกมาโจมตีฝ่ายจัดการแข่งขันทันที ซึ่ง ดมีโตร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศของ ยูเครน โพสต์ว่า “รัสเซียยุติความก้าวร้าวหรือความโหดร้ายแล้วหรือ? ไม่ เป็นเพียงการที่ วิมเบิลดัน ตัดสินใจรองรับผู้สมรู้ร่วมคิดในการก่ออาชญากรรมสองประเทศเท่านั้น”