ได้กลับมาโลดแล่น และผงาดอีกครั้งในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ สำหรับ เจมี วาร์ดี ดาวยิงจอมเก๋าวัย 37 ปี ที่เป็นดั่งไอคอน และเสาหลักของเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมซึ่งมีเจ้าของเป็นคนไทย และเพิ่งกลับมายังลีกสูงสุดอีกครั้ง
เจมี ริชาร์ด วาร์ดี เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 1987 ที่เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ โดยเขาเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะดีนัก คุณพ่อของเขา ริชาร์ด กิลล์ วาร์ดี้ มีอาชีพเป็นพนักงานคุมรถเครน ตามสถานที่ก่อสร้าง ส่วน ลิซ่า วาร์ดี้ ผู้เป็นแม่ รับหน้าที่เป็นทนายความ ซึ่งชีวิตในวัยเด็กของ วาร์ดี้ ต้องดิ้นรนตั้งแต่ยังเล็ก เขาเริ่มหารายได้มาช่วยเหลือครอบครัว ด้วยการเป็นพนักงานในโรงงานทำขาเทียม ที่ซึ่งเขาต้องเผชิญกับสารเคมีอันตรายตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็จำเป็นต้องทำเพราะไม่มีทางเลือก
อย่างไรก็ตาม ที่โรงงานแห่งนี้เอง ทำให้เขาได้พบกับฟุตบอล และทำให้เขาเริ่มหลงใหลในเกมลูกหนัง โดยวาร์ดี มักจะคอยเล่นฟุตบอลกับเพื่อนที่โรงงานอยู่เสมอ จากนั้นเขาจึงตัดสินใจเริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอล ด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชนของ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ทีมในบ้านเกิด ทว่าไม่นานกลับถูกปล่อยตัวออกจากทีมเยาวชนในวัย 16 ปี ทำให้เขาย้ายไปเล่นกับ ทีมสำรองของ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ ซึ่งอยู่ใน ดิวิชั่น 8 หรือ ลีกต่ำสุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ ในปี 2003
จนกระทั่ง ปี 2007 วาร์ดี้ ในวัย 20 ปี ได้ขยับเลื่อนขึ้นเป็น นักเตะในทีมชุดใหญ่ของ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ แต่เขากลับได้รับค่าเหนื่อยเพียงแค่ 30 ปอนด์ (ประมาณ 1,618 บาท) ต่อสัปดาห์ ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงชีพ ทำให้ วาร์ดี้ จึงต้องกลับไปทำงานในโรงงานผลิตขาเทียมอีกครั้ง ควบคู่กับการเตะฟุตบอลไปด้วย
แม้จะได้เล่นฟุตบอลในระดับสมัครเล่น ในลีกที่เล็กมากๆ แต่ เจมี วาร์ดี้ กลับมีทัศนคติในการเล่นฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม แตกต่างจากเพื่อนร่วมทีมในตอนนั้น โดย อัลเลน เบเธล ประธานสโมสรของ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ เล่าว่า วาร์ดี้ เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น อยากเอาชนะ มีความเป็นผู้นำ และยังมีระเบียบวินัยอย่างมาก ในการฝึกซ้อม เขาตั้งใจจะพัฒนาตัวเอง เพื่ออนาคตในเส้นทางลูกหนัง ต่างจากนักเตะคนอื่นๆ ที่เล่นฟุตบอลเป็นงานเสริม เพื่อรายได้ และความสนุกสนาน ถึงขนาดที่บางคน ยังเมาค้างไปลงสนามแข่งด้วยซ้ำ “ผมคงต้องบอกว่าเขาคือนักเตะทีดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา” อดีตบี๊กบอสของ วาร์ดี้ กล่าว
ด้วยความจริงจัง และทุ่มเทเต็มร้อย เกินมาตรฐานของลีก ทำให้ฝีเท้าของ วาร์ดี้ โดดเด่น จนได้ย้ายไปร่วมทีม ฮัลลิแฟ็กซ์ ทาวน์ ทีมในดิวิชั่น 7 ในปี 2010 ก่อนที่เขาจะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ และเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 6 ได้สำเร็จ ตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายไป และให้หลังเพียงปีเดียว วาร์ดี้ ก็ได้ย้ายไปร่วมทัพ ฟลีตวูด ทาวน์ ทีมในดิวิชั่น 5 ในปี 2011
กระทั่ง จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ วาร์ดี้ ก็เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2012 เมื่อ เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมในลีก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ มาตัดสินใจคว้าตัว วาร์ดี้ ไปร่วมทีม ด้วยค่าตัวราว 1 ล้านปอนด์ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะจากนอกลีกอาชีพ ที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว อย่างไรก็ดี จากการที่เส้นทางในชีวิตของเขา เกิดพลิกผันแบบก้าวกระโดดเพียงชั่วข้ามคืน มันก็เกือบจะทำให้อนาคตในอาชีพการค้าแข้ง ที่เพิ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ จะต้องจบสิ้นลงด้วยเช่นกัน เมื่อ วาร์ดี้ ที่ไม่เคยได้เงินมากมายแบบนั้น ไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ เขาเริ่มฉลองอย่างหนัก โดยมองว่านี่คือจุดสูงสุดในอาชีพของเขาแล้ว
อย่างไรก็ดี เจมี วาร์ดี้ ที่เกือบจะเสียคนไปแล้ว กลับมาคิดได้อีกครั้ง ว่าหน้าที่ของเขาคืออะไร และที่ผ่านมา เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไปเพื่ออะไร เขาเริ่มตระหนักได้ หลังได้คุยกับ คุณอัยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนั้น ซึ่งจุดนั้นเอง ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้เขากลับตัวกลับใจ กลับมาตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อม และพัฒนาฝีเท้าตัวเอง เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินมูลค่า 1 ล้านปอนด์ที่ต้นสังกัดจ่ายไป เพื่อเป็นค่าตัวของเขา
โดยในฤดูกาล 2012/13 วาร์ดี้ ลงเล่นให้ เลสเตอร์ ในศึก แชมเปี้ยนชิพ ไป 26 นัด ยิงไป 4 ประตู พร้อมช่วยให้ทีมจบในอันดับที่ 6 ของตาราง คว้าสิทธิ์ไปเล่นเพลย์ออฟ เพื่อเลื่อนชั้นขึ้นสู่ศึกพรีเมียร์ลีก ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็ต้องอกหัก หลังพ่ายให้กับ วัตฟอร์ด ในการเพลย์ออฟ อย่างไรก็ตาม วาร์ดี้ และทัพจิ้งจอกสีน้ำเงิน ไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เมื่อซีซั่น 2013/14 พวกเขาสามารถคว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพ พร้อมคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นสู่ศึก พรีเมียร์ลีก แบบอัตโนมัติได้สำเร็จ
ฤดูกาล 2014/15 ปีแรกในลีกสูงสุด วาร์ดี้ ต้องเผชิญกับความยากลำบากในลีกที่มีการแข่งขันที่เข้มขัน โดยเขายิงไปได้เพียง 5 ประตู จากการลงสนาม 34 นัดในลีก แต่ก็ยังดีที่สุดท้าย เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถหนีตาย รอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ และจบในอันดับ 14 ของตาราง
แต่แล้ว จุดสูงสุดในเส้นทางค้าแข้งของ วาร์ดี้ ก็มาเยือน เหตุการณ์อันสุดเหลือเชื่อ ที่สร้างความตกตะลึกไปทั่วทั้งโลก และแน่นอนว่าตัวของ วาร์ดี้ เองก็คงจะไม่มีวันลืมเลือน เกิดขึ้นในซีซั่น 2015/16 เมื่อขุนพล “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เพิ่งหนีตกชั้นในปีก่อนมาหมาดๆ กลับสร้างปาฏิหาริย์ คว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก ไปครอง ได้อย่างสุดมหัศจรรย์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แล้วก็เป็น เจมี วาร์ดี้ หัวหอกชาวอังกฤษรายนี้เอง ที่กลายเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จครั้งนี้ หลังระเบิดฟอร์ม ช่วยทีมยิงไปถึง 24 ประตู คว้าตำแหน่งรองดาวซัลโวของลีก พร้อมพาทีมเถลิงบังลังก์แชมป์ได้ราวกับเป็น เทพนิยาย เลยก็ว่าได้
จากนั้นมา เลสเตอร์ ซิตี้ ยังค่อยๆ รักษามาตราฐานจนกลายเป็นทีมในกลุ่มบนของตารางอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตัวของ เจมี วาร์ดี้ เองก็ยังคงรักษาผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยในฤดูกาล 2019/20 วาร์ดี้ ที่ยิงไป 23 ประตูในลีก คว้าตำแหน่ง ดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีก ไปครองได้สำเร็จ พร้อมสร้างสถิติเป็นนักเตะที่มีอายุมากที่สุดที่ได้รางวัลนี้ ด้วยวัย 33 ปี
อย่างไรก็ตามยิ่งนับวันนักเตะเลสเตอร์ ที่เป็นแกนหลักคนอื่นๆก็ถูกทีมใหญ่อื่นๆดูดไปเข้าทีม ทำให้ผลงานของเลสเตอร์ นั้นตกต่ำลงเรื่อยๆ จนต้องตกชั้นลงไปเล่นในลีกแชมเปียนชิพ ฤดูกาล 2023/24 แต่ถึงกระนั้น วาร์ดี ก็ยังอยู่กับทีม และเป็นคนที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ แชมเปียนชิพ กลับขึ้นมายังพรีเมียร์ ลีก อีกครั้ง ในฤดูกาล 2024/25 ด้วยผลงาน ลงสนามไป 37 นัดยิงไป 20 ประตู
และแม้จะเข้าสู่วัย 37 ปี แต่ วาร์ดี ก็ยังคงมีพิษสง อันตรายเช่นเดิม โดยในเกมเปิดฤดูกาลกับ สเปอร์ เขาก็เป็นผู้ยิงประตูให้กับเลสเตอร์ ก่อนสุดท้ายจะจบลงที่ผลเสมอ 1-1
จากเรื่องราวทั้งหมด และความยอดเยี่ยมตลอดการค้าแข้ง ก็พิสูจน์ได้ว่า เจมี วาร์ดี นั้นคือสุดยอดดาวยิงที่ขึ้นหึ้งนักเตะระดับตำนาน และเป็นแข้งที่แฟนเลสเตอร์ รักใคร่ที่สุดคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย