จอร์จินโญ ถือเป็นอีกหนึ่งมิดฟิลด์ ระดับโลก ที่ประสบความสำเร็จมากมาย นอกจากนี้เขายังมีภูมิหลังชีวิตที่น่าสนใจ
จอร์จินโญ หรือชื่อเต็ม จอร์จ หลุยส์ เฟรลโล ฟิลโญ เกิดเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1991 ที่เมืองอิมบิตูบา ประเทศบราซิล อย่างไรก็ตามเขามีสายเลือดอิตาลีอยู่ในตัวผ่านทางคุณทวด จาโคโม เฟรลโล ซึ่งเป็นชาวเมืองเวเนโตที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในบราซิล
จอร์จินโญ ไม่ต่างจากเด็กๆชาวบราซิลทั่วไปที่ชื่นชอบฟุตบอล แต่ที่น่าเซอร์ไพรส์คือคนที่สอนฟุตบอลให้กับเขานั้นไม่ใช่พ่อ เพื่อน หรือครูคนไหน แต่เป็นคุณแม่ มาเรีย เทเรซา เฟรตัส ที่เป็นคนสอนวิชาลูกหนังให้กับจอร์จินโญตั้งแต่เด็กๆ
“แม่ของผมเล่นฟุตบอล ดังนั้นผมจึงเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากแม่” จอร์จินโญเผย “เธอยังคงเล่นฟุตบอลอยู่เลยและเข้าใจเกมอย่างมาก แม่ชอบพาผมไปเล่นฟุตบอลที่ชายหาด และผมก็จะใช้เวลาทั้งช่วงบ่ายนั้นฝึกเรื่องเทคนิคการเล่นบนผืนทรายที่ชายหาด”
ส่วนความสามารถในการแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ในสนามนั้น เขาบอกว่าเป็นเพราะแม่สอนให้เขาเติบโตมาพร้อมกับการเผชิญปัญหา นั่นทำให้ไม่ว่าอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเขาจะสามารถหาทางออกให้กับมันได้เสมอ
แม่ยังเป็นคนที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อสนับสนุนให้ลูกชายได้เล่นฟุตบอล ทำงานหนักเพื่อหาเงินมาซื้อรองเท้าฟุตบอลและลูกบอลให้ และยังพาเขาไปเล่นในทีมท้องถิ่นที่ชื่อบรุสเซาอีกด้วย
จนอายุ 13 ปี ที่ จอร์จินโญ ได้โอกาสให้เข้าร่วมในโครงการเฟ้นหานักเตะบราซิลเลียนรุ่นใหม่ที่จะได้โอกาสไปเล่นฟุตบอลอาชีพที่อิตาลี เพราะนายทุนของโครงการนี้เป็นชาวอิตาเลียน และนั่นเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องจากแม่ไปไกล อยู่ห่างกัน 180 กิโลเมตร
สำหรับจอร์จินโญ ความทรงจำในช่วง 2 ปีนั้นคือความทรงจำที่ขมขื่น เพราะสภาพแวดล้อมของอคาเดมีนั้นเลวร้ายอย่างมาก ไม่มีน้ำอุ่นให้อาบในคืนที่เหน็บหนาว ไม่มีหน้าต่างให้ปิดเพื่อป้องกันลม
แต่ด้วยความทุ่มเทตลอด 2 ปีทำให้เขาได้รับเลือกให้ไปร่วมทีมอคาเดมีของเฮลลาส เวโรนา สโมสรในระดับเซเรีย บี ที่ซึ่งเขาถูกเอเยนต์ยักยอกเงินไปกว่า 27,000 ยูโร และทำให้เขาเหลือเงินให้ใช้จ่ายเพียงแค่สัปดาห์ละ 18 ยูโรเท่านั้น
เวลานั้น จอร์จินโญสิ้นหวัง เงินที่ควรจะเป็นของเขาก็ถูกเอาไปจนหมด อยู่ต่างแดน ไกลบ้าน ไม่ได้เจอแม่ นั่นทำให้เขาคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอลเลยทีเดียว แต่ในเวลาลงสนามเขาก็เล่นได้อย่างโดดเด่น เหนือกว่าใครๆจนได้รับสมญาว่า “หมาป่าแห่งอนาคต”
“ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย” เขาเล่าถึงช่วงชีวิตที่แสนลำบากตอนนั้น “ผมใช้เงิน 5 ยูโรในการเติมเงินในโทรศัพท์มือถือ ซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นซึ่งนั่นก็เป็นเงิน 15 ยูโรแล้ว ส่วนที่เหลือเขาจะเก็บเอาไว้ใช้ต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อคุยกับที่บ้าน”
จอร์จินโญต้องอยู่ในสภาพนี้เป็นระยะเวลาร่วมปีครึ่ง โดยที่เขายังโชคดีที่มีผู้ใหญ่อย่าง ริคคาร์โด พิสชิเตลลี อดีตผู้อำนวยการสโมสรของเวโรนาที่คอยดูแลเขาอยู่ และพยายามช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้ ให้เงินสัปดาห์ละ 20 ยูโร หรือ 50 ยูโรบ้าง และฝากเขาไว้กับบาทหลวงโดยให้พักที่โบสถ์
จนเมื่อขึ้นปี 2 ของชีวิตที่อิตาลีที่เขาได้เริ่มซ้อมกับทีมชุดใหญ่ก็ได้พบกับ ราฟาเอล ปินเญโร ผู้รักษาประตูชาวบราซิลของทีมที่เอ็นดูจอร์จินโญเหมือนน้อง และเมื่อรู้ถึงชีวิตที่ยากลำบากของเขาแล้ว ราฟาเอลก็ไม่เคยปล่อยให้น้องต้องขาดอะไรอีกเลย
และเพราะความตั้งใจของเขาเองที่ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ทำให้สุดท้ายแล้วเขาได้โอกาสแจ้งเกิดกับเวโรนา ในปี 2010 ก่อนจะถูกทีมใหญ่อย่างนาโปลีซื้อตัวไปร่วมทีมในปี 2014 และได้พบกับ เมาริซิโอ ซาร์รี นายใหญ่ที่ขัดเกลาเขาให้กลายเป็นสุดยอดกองกลางฉบับ ‘Resista’ หรือตัวคุมเกมในปัจจุบัน
จอร์จินโญ ร่วมคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย กับ ซูเปอร์ โคปปา อิตาเลียนา กับนาโปลี อย่างละ 1 สมัย ก่อนที่ฤดูกาล 2018/19 เขาจะถูกนายใหญ่ที่คุณเคยอย่าง เมาริซิโอ ซาร์รี ดึงตัวไปเล่นด้วยที่ เชลซี ในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
ที่แห่งนี้ จอร์จินโญ ประสบความสำเร็จมากมาย คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก, ยูโรป้า ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ อย่างละ 1 สมัย ก่อนจะย้ายมาเล่นกับ อาร์เซนอล ในฤดูกาลล่าสุด
ด้านทีมชาติ ถึงจะเป็นคนบราซิล แต่เพราะความผูกพันทำให้เขาต้องการจะรับใช้ทีมชาติอิตาลี โดยเขาประกาศเองว่าต้องการเล่นให้ อิตาลี และได้รับการเรียกตัวจาก อันโตนิโอ คอนเต ในปี 2016 แต่ก็ไม่เคยได้เล่นเกมแข่งขันอย่างเป็นทางการ จนมีข่าวว่า ติเต โค้ชทีมชาติบราซิลจะเรียกตัวเขาไปติดทีมชาติบราซิลแทน
แต่จอร์จินโญก็ยืนกรานจะเล่นให้อิตาลี และสุดท้ายเขาก็ได้โอกาสจาก จาน ปิเอโร เวนตูรา ที่เคยมองข้ามเขามาตลอดในปี 2017 ก่อนจะก้าวผ่านทุกอุปสรรคจนกลายเป็นเสาหลักในการคุมจังหวะของทีมต่อมา โดยเขาร่วมพาอิตาลี คว้าแชมป์ยุโรปได้ในปี 2020 อย่างยิ่งใหญ่
จากนี้ต้องมาติดตามกันว่า จอร์จินโญ จะใช้ความพยายามอันเป็นจุดเด่นสำคัญในตัวเขา ประสบความสำเร็จเพิ่มเติมอะไรอีกบ้าง