กลายเป็นผลผลิตที่ออกดอกออกผลที่สุดคนหนึ่งของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล สำหรับ บูกาโย ซาก้า ริมเส้นสุดจี๊ด ที่นับวันยิ่งอันตรายสำหรับทีมคู่แข่ง ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งซัด 2 ประตูช่วยให้ทีมเปิดบ้านเอาชนะ ลิเวอร์พูล 3-2 ได้สำเร็จ
บูกาโย ซาก้า เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2001 ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยคุณพ่อคุณแม่ของ ซาก้า เป็นชาวไนจีเรีย ที่อพยพมาอยู่ในแดนผู้ดีก่อนที่เขาจะเกิดเสียอีก โดยชื่อ บูกาโย นั้นมาจากภาษาโยรูบา ภาษาท้องถิ่นของไนจีเรีย ซึ่งมีความหมายว่า “เพิ่มความสุข”
ครอบครัวของ ซาก้า เป็นเหมือนชาวไนจีเรีย ที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในอังกฤษทั่วไป ที่คลั่งไคล้ในฟุตบอล ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของเขาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล นั่นทำให้ ซาก้า ได้รับอิทธิพลนี้ และมีความฝันที่จะค้าแข้งกับ อาร์เซนอลให้ได้
เริ่มแรกนั้น ซาก้า เข้าฝึกฟุตบอลกับทีมเยาวชนของ กรีนฟอร์ด เซลติก ซึ่งเป็นทีมในท้องถิ่น ขณะที่คุณพ่อก็สนับสนุนและหาทางอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้ลูกชายเข้าทีมอาร์เซนอลให้ได้ กระทั่งวันหนึ่ง เมื่อ ซาก้า อายุได้ 7 ขวบ เขาได้เข้าไปคัดเลือกกับทีม และผ่านการทดสอบในที่สุด ถือเป็นก้าวแรกของเขาในการเดินตามความฝัน
ซาก้า เล่าให้ฟังถึงการเข้าไปฝึกกับ อาร์เซนอล ว่าค่อนข้างลำบากมาก เพราะคุณพ่อและคุณแม่เขาต้องเสียสละมากมายในการพาเขามาฝึกในแต่ละวัน นั่นทำให้ ซาก้า มีความมุ่งมั่นอย่างมาก ในการฝึกซ้อมอย่างหนักตลอดเวลา
สำหรับเด็กคนอื่นๆของแคมป์เยาวชนส่วนใหญ่อาจจะมีไอดอลเป็น เธียร์รี อองรี หรือ เดนนิส เบิร์กแคมป์ แต่สำหรับ ซาก้า นั้นเขายกให้ เฟรดดี ยุงเบิร์ก อดีตตำนานนักเตะของอาร์เซนอล ซึ่งเล่นในตำแหน่งเดียวกับเขา ทั้งยังเป็นโค้ชเยาวชนของซาก้า ด้วย เป็นไอดอลในการเดินรอยตาม
ในระหว่างฝึกซ้อมกับ อาร์เซนอล นี้ ซาก้า ได้แสดงพรสวรรค์หลายอย่างให้เห็นในการพัฒนาขึ้นเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม เขามีทั้งความเร็ว มีความสามารถในการเลี้ยง 1 ต่อ 1 ทั้งยังเล่นลูกนิ่งได้ดีอีกด้วย นั่นทำให้เมื่ออายุได้ 17 ปี “ปืนใหญ่” จึงมอบสัญญาอาชีพให้กับเขา และจับขึ้นมาลองฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ในที่สุด
และแล้วโอกาสก็มาถึง ซาก้าได้มีโอกาสลงเล่นให้กับ อาร์เซนอล นัดแรกในเกมที่พบกับ วอร์สคลา โปลตาวา ในศึกยูโรป้า ลีก เมื่อปี 2018 โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน อารอน แรมซีย์ ในนาที 68 ก่อนที่จะได้ลงประเดิมสนามในศึกพรีเมียร์ลีก เกมที่เอาชนะ ฟูแลม 4-1 ทั้งยังกลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่เกิดหลังปี 2001 ที่ลงสนามในพรีเมียร์ ลีก
หลังจากนั้น ซาก้า ยังได้รับโอกาสลงสนามเรื่อยๆในตำแหน่งริมเส้นทั้งฝั่งซ้าย และฝั่งขวา วันดีคืนดีในช่วงที่ทีมมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหลายคน ก็ถูกจับไปเล่นในตำแหน่งฟูลแบ๊ก ซึ่งเขาก็ทำผลงานได้ดี จนเริ่มเป็นที่จับตา ทั้งยังมีข่าวกับทั้ง ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ รวมถึงมีโอกาสติดทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่ไปลุยศึกฟุตบอลยูโร 2020 ด้วย
กับทีมชาติซาก้า กลายเป็นนักเตะที่อันตรายที่สุดคนหนึ่งในแนวรุกของอังกฤษ แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็กล้าเล่น และมีความเร็ว ซึ่งในครั้งนั้นอังกฤษ สามารถทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนที่จะแพ้ในการดวลจุดโทษกับทีมชาติอิตาลี และซาก้า เองก็เป็นหนึ่งในแพะรับบาป ในครั้งนั้น
เหตุผลเนื่องจาก ซาก้า ได้รับเลือกให้เป็นผู้ยิงจุดโทษคนสุดท้าย แต่เขาก็ทำมันพลาด ทำให้เมื่อกลับมายังอังกฤษ เขาถูกแฟนๆวิพากษ์วิจารณ์ บางคนถึงขั้นเหยียดเชื้อชาติ ก็มี
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้มันทำให้เขาเติบโต และมีความต้านทานต่อเสียงวิจารณ์มากขึ้น นับวันฝีเท้าเขายิ่งพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นนักเตะคนสำคัญของอาร์เซนอล ในยุคของ มิเกล อาร์เตต้า กุนซือ และมักจะมีส่วนร่วมกับประตูที่ทีมทำได้อยู่เสมอ
จนถึงตอนนี้ ซาก้า ลงเล่นให้กับ “ปืนใหญ่” ไปแล้ว 141 นัด ยิงไป 24 ประตู คว้าแชมป์ เอฟเอคัพ 1 สมัย แชมป์คอมมูนิตี ชิลด์ 1 สมัย อีกทั้งฤดูกาลที่แล้วก็คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของอังกฤษ มาครอง
ด้วยวัยเพียง 21 ปี บอกเลยว่า ซาก้า ยังสามารถพัฒนาฝีเท้าตัวเองไปได้อีกไกล เขาคือนักเตะของอาร์เซนอล และอนาคตของอาร์เซนอล อย่างแท้จริง