ประวัตินักกีฬา

สตีฟ แมคมานามาน ตำนานจอมเลื้อยที่สร้างความ หฤหรรษ์ ให้ทัพ เดอะค็อป มากที่สุด

สตีฟ แมคมานามาน

 สตีฟ แมคมานามาน ถือเป็นหนึ่งในตำนานของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่โดดเด่น และมีสไตล์การลากเลื้อยเป็นเอกลักษณ์ ถึงขั้นได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในนักเตะอังกฤษ ที่มีทักษะการเล่นที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์

 สตีเวน แมคมานามาน เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1972 ที่บูเทิล เมืองเมอร์ซีไซด์ ประเทศอังกฤษ เขาถูกค้นพบพร้อมทักษะอันน่าทึ่งโดย จิม เเอสพินัลล์ แมวมองผู้ล่วงลับของลิเวอร์พูล 

“ผมเห็นสตีฟเล่นครั้งแรกตอนที่เขาอายุแค่ 11 ปี ตอนนั้น เขาเล่นให้ทีมโรงเรียนที่กูดิสัน พาร์ค ในเกมชิงชนะเลิศบอลถ้วยรายการหนึ่ง” แอสพินัล กล่าว “ตอนที่ผมเห็นเขาเล่น ผมแทบจะอดใจรอคอยพบพ่อของเขาไม่ได้ ผมใจร้อนอยากให้สตีฟเซ็นสัญญากับเราโดยเร็วที่สุด”

แต่แอสพินัลล์ต้องรออีก 3 ปี กว่าจะได้ลายเซ็นต์ของแมคมานามาน เนื่องจากเขาเป็นแฟนตัวยงของ เอฟเวอร์ตัน ทีมคู่ปรับร่วมเมืองลิเวอร์พูล ทำให้ แมคมนามาน พยายามอยู่นานที่จะทดสอบฝีเท้ากับเอฟเวอร์ตัน แต่ดูเหมือนสต๊าฟโค้ชของ เอฟเวอร์ตัน มองว่าเขามีรูปร่างเล็กและบอบบางเกินไป จนไม่น่าจะทนแรงเสียดทานการเล่นฟุตบอลที่หนักหน่วงในสไตล์อังกฤษได้

 หลังจากที่เขาเปลี่ยนใจมาเซ็นสัญญากับ ลิเวอร์พูล ในปี 1998 แมคมานามาน ซึ่งรับหน้าที่ขัดรองเท้าให้กับ จอห์น บาร์น ในฐานะนักเตะฝึกหัด ก็ทำผลงานได้โดดเด่นในทีมสำรอง จนทำให้ เคนนี่ ดักกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในเวลานั้น ตัดสินใจให้โอกาสเขาขึ้นไปฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ก่อนที่ดักกลิชจะยื่นสัญญานักเตะอาชีพ ให้กับแมคมานามานเมื่อวันเกิดครบรอบ 18 ปี ของเขาในเดือนกุมภาพันธ์ 1990

 แมคมานามาน ได้โอกาสประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูล ครั้งแรกในฤดูกาล 1990-91 ในศึกดิวิชั่น 1 (เดิม) ที่ ลิเวอร์พูลเปิดบ้าน พิชิต เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-0 เมื่อเดือนธันวาคม 1990 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนามแทน ปีเตอร์ เบิร์ดลี่ย์ กองหน้าตัวเก๋า

สตีฟ แมคมานามาน

ในฤดูกาลต่อมา 1991-92 เป็นปีที่แมคมานามานแจ้งเกิดอย่างเต็มตัว โดย แกรม ซูเนสส์ กุนซือคนใหม่ของหงส์แดงให้โอกาสบรรดานักเตะดาวรุ่งอย่าง แม็คก้า , เจมี่ เร้ดแน็ปป์ , ร็อบ โจนส์ หรือ ไมค์ มาร์ช ลงแทนกลุ่มนักเตะตัวเก๋า ที่มีปัญหาบาดเจ็บ ซึ่งแต่ละคนก็ทำผลงานได้ดีทั้งสิ้น

แมคมานามานลงเล่นในฐานะตัวจริง ตั้งแต่นัดแรกของฤดูกาล 91-92 และเขาก็ช่วยให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะโอลด์แฮม 2-1 โดยที่ปีกดาวรุ่งโชว์ฟอร์มลากเลื้อยทำเกมรุกทางริมเส้นได้อย่างโดดเด่น และสร้างปัญหาให้กับฟูลแบ็กฝ่ายตรงข้ามของทุกทีมที่ต้องเผชิญหน้ากับหงส์แดง

ปีกดาวรุ่งจบฤดูกาลแรกของตัวเองในการเล่นฟุตบอลอาชีพด้วยการช่วยให้ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ด้วยการพิชิต ซันเดอร์แลนด์ 2-0 ซึ่งเขาโยนบอลให้ ไมเคิล โทมัส วอลเลย์ทำประตูที่ 2 อย่างสวยงามด้วย และจากผลงานยอดเยี่ยมของเขาทำให้ เอียน รัช ตำนานของทีมหงส์แดง บอกว่า แมคมานามานคือนักเตะดาวรุ่ง หน้าใหม่ของลิวอร์พูลที่มีความสามารถสูงที่สุด

แมคมานามานยังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมในช่วง 2-3 ปีต่อมา แต่น่าเสียดายที่ทีมหงส์แดงอยู่ในช่วงขาลงอย่างแท้จริง จากปัญหานักเตะ ประสบการณ์สูงอย่าง รัช, บาร์น,ร อนนี่ วีแลนด์ และสตีฟ นิโคล มีอาการบาดเจ็บ แม้ว่า แมคมานามาน จะทำผลงานส่วนตัว ได้โดดเด่น แต่ผลงานโดยรวมของลิเวอร์พูลถือว่าเลวร้ายอย่างมาก แถมในเดือนกันยายน 1993 แมคมานามานตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ เมื่อชกต่อยกับ บรูซ กร็อบเบลล่าร์ ผู้รักษาประตูตัวเก๋าของทีมระหว่างแมตช์ที่หงส์แดงออกไปพ่ายเอฟเวอร์ตันหมดรูป 0-2 ในศึกพรีเมียร์ลีก

 อย่างไรก็ตาม แมคมานามาน ยังคงยืนเป็นเสาหลักให้กับลิเวอร์พูล ต่อยาวไปจนถึงฤดูกาล 1998/20 โดยคว้าแชมป์เพิ่มมาได้อีกรายการคือ ลีก คัพ ในฤดูกาล 1994/95 ก่อนเขาจะถูกมองว่าเริ่มทำตัวมีปัญหา ทำตัวหยิ่ง และให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าสโมสร จนเชราห์ อุลลิเย่ร์ กุนซือในตอนนั้นประกาศชัดเจนในช่วงก่อนที่ แมคมานามาน จะหมดสัญญากับลิเวอร์พูล เพียง 12 เดือนว่า สโมสรจะไม่ต่อสัญญาให้กับแม็คก้าด้วยเหตุผลที่ว่า “เราไม่ต้องการนักเตะแบบนี้”

 แมคมานาน ย้ายออกไปร่วมทัพ เรอัล มาดริด ในฤดูกาล 1999/2000 แม้จะไม่ได้เป็นตัวหลักเสียทีเดียว แต่ก็ร่วมคว้าแชมป์ ลาลีก้า สเปน 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2 สมัย และยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย ก่อนที่ในฤดูกาล 2003/04 จะย้ายกลับมาค้าแข้งในพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 ฤดูกาล และแขวนสตั๊ดไป 

 แม้เขาจะไม่ได้อยู่กับ ลิเวอร์พูล จนถึงที่สุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ถูกจดจำในฐานะตำนานอีกคนของ “หงส์แดง” ที่สร้างผลงาน และจารึกสไตล์การลากเลื้อยอันเป็นเอกลักษณ์ได้เป็นอย่างดี

 และในวันที่ 5 กันยายน 2006 แมคมานามานได้รับเลือกเป็นนักเตะอันดับ 22 จาก 100 คนที่ “สร้างความหฤหรรษ์ให้เดอะค็อปมากที่สุด” และทั้งยังเป็นคนที่ครองสถิติการส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลิเวอร์พูลด้วย

Click to comment

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Most Popular

To Top