ประวัตินักกีฬา

เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ยุคใหม่ อัจฉริยะผู้กวาดความสำเร็จมากมายให้ แมนฯ ซิตี้

เควิน เดอ บรอยน์

เควิน เดอ บรอยน์ ถือเป็นหนึ่งในกองกลางระดับอัจฉริยะที่โลกฟุตบอลเคยมีมา ด้วยวิสัยทัศน์การจ่ายบอลที่เหนือชั้น เทคนิคอันยอดเยี่ยม และความสามารถในการยิงประตูจากแถวสอง ทำให้ เดอ บรอยน์ กลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา และยังเป็นหัวใจหลักของทีมชาติเบลเยียมมาตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่ง

เควิน เดอ บรอยน์ เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1991 ที่เมือง ดรอนเกน ประเทศเบลเยียม เขาเริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลกับทีมเยาวชนของ เควีวี ดรอนเกน ก่อนจะถูกดึงตัวเข้าสู่ระบบเยาวชนของเกงก์ ในปี 2005 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะที่นี่เขาได้เรียนรู้ฟุตบอลในระดับที่จริงจัง และพัฒนาทักษะการจ่ายบอล การเคลื่อนที่ และการอ่านเกมให้เฉียบคมขึ้นอย่างชัดเจน

ในปี 2008 เดอ บรอยน์ได้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของเกงก์ และกลายเป็นกำลังหลักทันที แม้จะยังเป็นเพียงดาวรุ่ง แต่เขาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะในฤดูกาล 2010/11 ที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกเบลเยียม พร้อมฝากผลงานยิง 5 ประตู กับอีก 16 แอสซิสต์ จนเป็นที่จับตามองของสโมสรใหญ่ในยุโรป

ปี 2012 เชลซี ทีมยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมียร์ลีกอังกฤษตัดสินใจคว้าตัวเดอ บรอยน์มาร่วมทีม แต่ด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดภายในทีม และยังอยู่ในช่วงที่ทีมเต็มไปด้วยดาวดัง เดอ บรอยน์จึงไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนัก และถูกปล่อยยืมตัวไปยังแวร์เดอร์ เบรเมน ในบุนเดสลีกา เยอรมัน ที่ซึ่งเขาเปล่งประกายอีกครั้ง ยิงไป 10 ประตูกับอีก 9 แอสซิสต์ จนกลับมาเรียกความมั่นใจเต็มเปี่ยม

อย่างไรก็ตาม หลังกลับมาเชลซีในฤดูกาล 2013/14 เขายังคงไม่ได้รับโอกาสต่อเนื่อง และในต้นปี 2014 เดอ บรอยน์จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับโวล์ฟสบวร์กในเยอรมนีแบบถาวร ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เปลี่ยนชีวิตค้าแข้งของเขาอย่างสิ้นเชิง ที่นี่เขาไม่เพียงแค่ได้โอกาสลงสนามอย่างสม่ำเสมอ แต่ยังได้แสดงศักยภาพเต็มร้อย จากนั้นฤดูกาล 2014/15 คือช่วงพีคของเขาในบุนเดสลีกา เมื่อทำไปถึง 10 ประตู และจ่ายให้เพื่อนยิงถึง 21 ครั้ง คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีก และเป็นผู้นำพาโวล์ฟสบวร์กคว้าแชมป์เดเอฟเบ โพคาล รวมถึงซูเปอร์คัพเยอรมัน

ฟอร์มอันร้อนแรงนั้นทำให้ในเดือนสิงหาคม 2015 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การบริหารของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 55 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวเดอ บรอยน์กลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง และการกลับมาคราวนี้ เขาไม่ทำให้ใครผิดหวัง

เควิน เดอ บรอยน์

นับตั้งแต่ฤดูกาลแรกกับเรือใบสีฟ้า เดอ บรอยน์ก็กลายเป็นตัวหลักของทีมทันที และพัฒนาฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ เขาคือมันสมองของแดนกลาง แมนฯ ซิตี้ คือผู้สร้างสรรค์เกม คือคนที่เปลี่ยนจังหวะบอลให้กลายเป็นประตูได้ในพริบตา เดอ บรอยน์พาซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 5 สมัย (2017/18, 2018/19, 2020/21, 2021/22 และ 2022/23) รวมถึงแชมป์เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ และในที่สุด แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาล 2022/23 ซึ่งถือเป็นแชมป์ยุโรปครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

ด้วยผลงานส่วนตัว เดอ บรอยน์ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการจ่ายบอลที่แม่นยำระดับเลเซอร์ การครองบอลภายใต้ความกดดัน และความสามารถในการยิงประตูจากระยะไกล ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ของทั้งสโมสรและทีมชาติ

ในนามทีมชาติเบลเยียม เดอ บรอยน์คือหนึ่งในแกนหลักของ “โกลเด้นเจเนอเรชั่น” ที่พาทีมไปถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018 ก่อนจะคว้าอันดับสามกลับบ้าน แม้จะยังไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ได้ แต่เขาก็ยังคงเป็นผู้นำในสนาม และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดตลอดกาลของเบลเยียม

กระทั่งในช่วงต้นปี 2025 เควิน เดอ บรอยน์ ได้ประกาศข่าวที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่อยากได้ยินว่า เขาจะอำลาสโมสรหลังจบฤดูกาลนี้ หลังจากรับใช้ทีมมายาวนานกว่า 10 ปี โดยให้เหตุผลว่าถึงเวลาแล้วที่จะเปิดทางให้รุ่นใหม่ และใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น พร้อมขอบคุณแฟนบอลที่สนับสนุนเขามาตลอดทศวรรษ

การอำลาของเดอ บรอยน์ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของแมนฯ ซิตี้ และวงการพรีเมียร์ลีก เพราะเขาไม่เพียงแค่เป็นนักเตะระดับตำนานของสโมสรเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ที่นิยามคำว่า “เพลย์เมกเกอร์ยุคใหม่” ได้อย่างสมบูรณ์แบบตลอดเส้นทางค้าแข้ง

Click to comment

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Most Popular

To Top