ครอบครัวบัส เจ้าของทีม แอลเอ เลเกอร์ส แฟรนไชส์ดังแห่งลีกบาสเกตบอลเอ็นบีเอ เตรียมขายหุ้นส่วนใหญ่ของทีมให้กับมาร์ก วอลเตอร์ ซีอีโอของบริษัทโฮลดิง ทีดับเบิลยูจี โกลบอล คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.3 แสนล้านบาท) ซึ่งจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นการซื้อขายทีมกีฬาที่ราคาสูงที่สุดในวงการกีฬาสหรัฐ
ครอบครัวบัสเข้าไปถือกรรมสิทธิ์ เลเกอร์ส ตั้งแต่ปี 1979 โดยซื้อมาในราคา 67.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,377 ล้านบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนในสมัยนั้น) โดยเป็นการซื้อเหมารวมกับทีมฮอกกี้น้ำแข็ง แอลเอ คิงส์ และสนามลอสแองเจลิส อารีน่า
โดย เลเกอร์ส นับเป็นทีมกีฬาอาชีพที่มีชื่อเสียงที่สุดทีมหนึ่งของสหรัฐอเมริกา หลังคว้าแชมป์ลีกเอ็นบีเอ 17 สมัย สูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ ในอดีตเคยมีซุปเปอร์สตาร์ร่วมทีมหลายคน ทั้ง โคบี้ ไบรอันต์ และแชคีล โอนีล ส่วนปัจจุบันก็ยังมี เลอบรอน เจมส์ ฟอร์เวิร์ดตัวเก๋าวัย 40 ปีนำทัพ
และในยุคของเจ้าของ เจอร์รี่ บัส เลเกอร์ส เข้าชิงแชมป์ลีกเอ็นบีเอมากกว่าทุกทีมในลีก รวม 17 สมัย และเป็นแชมป์ถึง 11 สมัย หลังจากเจอร์รี่ บัส เสียชีวิตในปี 2013 กรรมสิทธิ์ทีมถูกส่งต่อในรูปทรัสต์ให้กับลูกๆ 6 คน
ปัจจุบันครอบครัวบัสเป็นเจ้าของหุ้น 66 เปอร์เซ็นต์ในทีมเลเกอร์ส และมีรายงานว่า แม้จะขายหุ้นให้วอลเตอร์แล้ว จีนนี่ บัส ลูกสาวคนโตของเจอร์รี่ บัส ซึ่งทำหน้าที่ประธานสโมสร เลเกอร์ส ก็จะยังอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวต่อไป
ส่วน มาร์ก วอลเตอร์ ปัจจุบันถือหุ้นแบบมีส่วนได้ส่วนเสียในทีมเบสบอล แอลเอ ดอดเจอร์ส ที่เพิ่งคว้าแชมป์เวิลด์ซีรีส์เมื่อปีที่แล้ว และเขาได้เข้าไปซื้อหุ้น 20 เปอร์เซ็นต์ของเลเกอร์ส เมื่อปี 2021 รวมถึงถือหุ้นในทีมกีฬาอื่น อาทิ สโมสรเชลซีในพรีเมียร์ลีก และทีมฟอร์มูล่าวัน “คาดิลแล็ก” ที่จะเข้าร่วมแข่งขันในปีหน้า
โฆษกของ วอลเตอร์ เผยว่า อภิมหาเศรษฐีนักการเงินรายนี้ กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อทีมแอลเอ เลเกอร์ส จริง โดยเขาเข้าไปถือหุ้นบางส่วนของทีมตั้งแต่ปี 2021 แล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มี.ค. บิล คริสโฮล์ม นักธุรกิจชาวอเมริกัน ก็เข้าไปซื้อบอสตัน เซลติกส์ แชมป์เอ็นบีเอสูงสุด 18 สมัย ด้วยมูลค่า 6,100 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว .01 แสนล้านบาท) ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นการซื้อขายทีมที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์วงการกีฬาสหรัฐ
ถึงกระนั้นถ้ามีการซื้อขายทีม เลเกอร์ส เกิดขึ้นจริงคาดว่าจะทำลายสถิติดังกล่าวลงด้วยมูลค่าสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.3 แสนล้านบาท) เลยทีเดียว
