หลังจากออกสตาร์ตมาได้ย่ำแย่ และน่าเป็นห่วงสำหรับผลงานของ แฟรงก์ แลมพาร์ด กับการคุมทัพ เอฟเวอร์ตัน แต่ดูเหมือนล่าสุดจะค่อยๆปรับฟอร์ม และทำผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ เก็บชัยมาได้ 2 นัดติด และยังไม่แพ้ใครมา 7 นัดติดต่อกันแล้วรวมทุกรายการ
แฟรงก์ แลมพาร์ด เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1978 ในกรุงลอนดอน ท่ามกลางครอบครัวที่อุดมไปด้วยนักฟุตบอล โดย แฟรงค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ มีลุงเป็นผู้จัดกการทีมชื่อดังอย่าง แฮร์รี เรดแนปป์ ขณะที่ เจมี เรดแนปป์ อดีตนักเตะลิเวอร์พูล ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วลูกไม้จะหล่นไกลต้นได้อย่างไร แน่นอนว่า แลมพาร์ด ก็มีความฝันที่จะเดินตามรอยคุณพ่อ พร้อมๆกับมีฮีโร่เป็น แฟรงก์ แม็กอเวนนี อดีตศูนย์หน้าเวสต์แฮม ทำให้เขาชื่นชอบสโมสรแห่งนี้ และเมื่อคุณพ่อของเขาได้โอกาสเข้ามาเป็นผู้ช่วยโค้ชให้กับทีม “ขุนค้อน” ทำให้ แลมพาร์ด ได้เข้ามาฝึกฝนกับทีมเยาวชน เวสแฮมต์ ในปี 1994
แลมพาร์ด ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้นในการพัฒนาขีดความสามารถ พร้อมกับมีความเป็นผู้นำอยู่เต็มขั้น ทำให้สโมสรตัดสินใจมอบสัญญาอาชีพให้เขา ก่อนจะปล่อยให้ สวอนซี ยืมตัวไปใช้งาน ในฤดูกาล 1995/1996
หลังจากออกไปลับกระดูกกับ สวอนซี แลมพาร์ด กลับมายัง เวสแฮมต์ ด้วยฝีเท้าที่น่าจับตามอง เขาถูกทีมชาติอังกฤษเรียกติดทีม อายุไม่เกิน 21 ปี ในปี 1997 และเป็นกำลังสำคัญให้กับเวสแฮมต์ เรื่อยมา โดยทำผลงานไว้ที่ 24 ประตู จาก 148 นัด กระทั่งฤดูกาล 2000/01 ก็ถูก เชลซี ดึงตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์
ที่แห่งนี้ แลมพาร์ด กลายเป็นจอมทัพ และผู้นำคนสำคัญของ สิงห์บลู ที่แฟนๆต่างรักใคร่ ตลอดระยะเวลา 13 ฤดูกาล เขาพา เชลซี คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ฟุตบอล ลีกคัพ 2 สมัย, คอมมูนิตี ชิลด์ 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย และ ยูโรปา ลีก 1 สมัย โดยลงเล่นให้กับเชลซี 648 นัด ยิงไป 211ประตู เป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ทั้งๆที่ไม่ใช่กองหน้าด้วยซ้ำไป
ช่วงท้ายชีวิตการค้าแข้ง แลมพาร์ด หาความท้าทายใหม่ ด้วยการไปเล่นให้กับ แมนฯซิตี้ และ นิวยอร์ก ซิตี้ ในสหรัฐอเมริกา ก่อนจะแขวนสตั๊ดในปี 2017 และ เข้าสู่เส้นทางผู้จัดการทีม
แลมพาร์ด เริ่มรับงานแรกในการเป็นกุนซือกับ ดาร์บี้ เคาต์ตี้ ทีมในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในฤดูกาล 2018/19 และเกือบพาทีมเลื่อนชั้นได้สำเร็จ เมื่อเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเพลย์ออฟเลื่อนชั้น แต่ต้องมาแพ้ แอสตัน วิลล่า ทำให้พลาดโอกาสนั้นไป ก่อนที่ เชลซี จะดึง แลมพาร์ด กลับสู่ถิ่นเก่าอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามการกลับมาครั้งนี้ของ แลมพาร์ด ยังทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจต่อผู้บริหาร และแฟนบอลเท่าไหร่นัก แม้ฤดูกาลแรกจะจบอันดับ 4 ของตาราง และฤดูกาลต่อมากลับร่วงอย่างใจหายจนตกไปอยู่ถึงอันดับ 9 ทำให้ ทีมตัดสินใจปลดเขาออกกลางฤดูกาล 2020/21
หลังจากพักมา 1 ปี เต็ม แลมพาร์ด ได้โอกาสอีกครั้งกับ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งถือเป็นงานหินสุดท้าทายความสามารถจริงๆ เพราะเอฟเวอร์ตัน ไม่ใช่ทีมเงินถุงเงินถังอย่างเชลซี หรือทีมที่ลุ้นเลื่อนชั้นอยู่ทุกปีอย่าง ดาร์บี้
อย่างไรก็ตามด้วยผลงานตอนนี้ที่กระเตื้่องขึ้นมาแล้ว คงทำให้แฟนบอล ทอฟฟี่ ชื้นใจขึ้นมาบ้าง แต่ทั้งนี้ฤดูกาลยังอีกยาวไกล คงต้องมาดูกันว่า แลมพาร์ด จะสอบผ่านหรือไม่ หรือจะล้มเหลวอย่างที่เคยเป็นมา กับบทบาทของ กุนซือ
