ในเวลาที่ ลิเวอร์พูล ฟอร์มระส่ำ ทั้งยังประสบปัญหากับแนวรุกที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง แต่ โรแบร์โต ฟีร์มีโน ศูนย์หน้าชาวแซมบ้า รายนี้ก็ยังฝากผีฝากไข้ได้อยู่เสมอ ทั้งในเกมกับอาร์เซนอล ที่ลงมาเป็นสำรองช่วยตีเสมอ 2-2 ให้กับทีม แม้สุดท้ายแล้วจะพ่ายไปก็ตาม หรือในเกมที่ลิเวอร์พูล ถล่ม เรนเจอร์ 7-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เขาก็ยิงอีก 2 ประตู
ฟีร์มีโน มีชื่อเต็มว่า โรแบร์โต ฟีร์มีโน บาร์โบซา เดอ โอลิเวรา หรือเพื่อนๆเรียกสั้นๆว่า “บ๊อบบี้” เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1991 ในเมืองมาเซยอ ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นเมืองที่มีสถิติอาชกรรมค่อนข้างสูง
ตั้งแต่ยังเด็กนั้น คุณแม่ของ ฟีร์มีโน มักจะห้ามเขาออกนอกบ้าน เพราะเกรงว่าจะมีอันตราย หรือเข้าไปพัวพันกับแก๊งอาชกรรมต่างๆ หากจะออกจริงๆก็ต้องไปกับคุณพ่อ ที่ประกอบอาชีพขายน้ำดื่มในย่านนั้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ทำให้ ฟีร์มีโน ค่อนข้างลำบากในการเล่น หรือฝึกฝนฟุตบอลแบบเด็กปกติทั่วไป ทำให้เขาไม่มีทางเลือก ต้องแอบออกจากบ้านในตอนกลางคืน ด้วยกุญแจที่เขาแอบทำไว้ และมาเตะฟุตบอลเล่นอยู่คนเดียวอยู่หน้าบ้าน ด้วยเสียงที่เงียบที่สุด กระทั่งวันหนึ่งคุณแม่และคุณพ่อจับได้ ประกอบกับที่มีเพื่อนบ้านช่วยพูดให้ ทำให้ครอบครัวเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะไปปิดกั้นพรสวรรค์ที่เขามีอยู่ จึงเริ่มสนับสนุนเขานับตั้งแต่นั้นมา
ฟีร์มีโน มีพรสวรรค์ ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับโลก แต่ตัวเขาและครอบครัวไม่มีกำลังหรือทุนทรัพย์ในการส่งเสริมให้ได้รับโอกาสเท่าเด็กคนอื่นๆ กระทั่งอายุได้ 14 ปี เขาก็ได้พบกับ หลุยส์ กุยเยเม โกเมส เดอ ฟาเรียส โค้ชของทีม คลับ เดอ เรกาตัส บราซิล (ซีอาร์บี) ที่บังเอิญมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวขา ทำให้ โค้ชคนนี้ ถึงกับ ออกค่าเดินทาง ค่าชุดและค่าใช้ต่างๆ เพื่อให้ ฟีร์มีโน ได้เข้ามาสู่ทีมในที่สุด
“ครอบครัวของโรแบร์โตนั้นยากจนและถ่อมตัวมาก เขาจะเล่นบอลด้วยเท้าเปล่า แถมตอนนั้นเมื่อเขามาที่สโมสรครั้งแรกพ่อของเขาก็ตกงานอีกด้วย ดังนั้นผมจึงจ่ายค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายต่างๆ ช่วยเรื่องชุดของเขาและพาเขาไปลงเล่นในสนาม”
“เขาเป็นคนผอมสูง ตัวเล็ก เงียบๆ แต่ฉลาดหลักแหลม ผมเคยเห็นเด็กๆ ถูกลักพาตัวไปค้ายาเสพติดและปล้นรถ แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้ทำแบบนั้น และภายในไม่กี่นาทีแรกที่เขาอยู่ในสนาม ผมรู้ทันทีว่าเขาจะต้องกลายเป็นดาวเด่น ผมร้องให้ออกมาเลยเมื่อได้ยินว่า บราซิล เรียกเขาติดทีมชาติ” โค้ชหลุยส์ ย้อนความหลังถึง ฟีร์มีโน
หลังจากได้รับความช่วยเหลือจาก โค้ชหลุยส์ และได้ฝึกฝนที่ ซีอาร์บี เป็นเวลา 2 ปี ฟีร์มีโน ในวัย 16 ปี ก็ได้เซ็นสัญญากับทีม ก่อนจะถูก ฟิกูเอเรนเซ ยืมตัวไปร่วมทีม และถูกดึงตัวแบบถาวรในปีต่อมา
ฟีร์มีโน ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ได้ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่กับ ฟิกูเอเรนเซ ลงสนามไป 38 นัด ยิงไป 8 ประตู จาก 3 ฤดูกาล ก่อนที่จะมีแมวมองจาก ฮอฟเฟนไฮม์ มาทาบทามเขาไปร่วมทีม และ ฟีร์มีโน ก็ดีใจอย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวของเขาจะหลุดพ้นจากความยากจนเสียที
ชีวิตของ ฟีร์มีโน เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากย้ายมาลงเล่นในบุสเดสลีก้า เยอรมนี เขาค่อยๆเป็นที่รู้จัก และฝีเท้าก็เป็นที่น่าจับตามามองเรื่อยๆ แม้จะไม่ใช่ศูนย์หน้าที่ผลิตสกอร์ได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะสามารถถ่างออกมาเล่นทางริมเส้น หรือบางครั้งก็ช่วยลงมาเก็บบอลทำเกมรุกให้กับทีม เรียกได้ว่ามีส่วนร่วมกับเกม และสร้างประโยชน์อย่างมาก ก่อนจะอยู่กับทีม 4 ปี ลงสนามไป 140 นัด ยิงไป 38 ประตู สุดท้ายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ถูกใจและดึงตัวเขาไปร่วมทีมในที่สุด
นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทัพ หงส์แดง ในปี 2015 ฟีร์มีโน เป็น ฟอลส์ไนน์ ที่สำคัญ และเป็นหัวใจหลักในเกมรุกของทีมอย่างแท้จริง ก่อนจะร่วมกันคว้าแชมป์ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คอมมูนิตี ชิลด์ 1 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย, ลีกคัพ 1 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย, ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย และที่สำคัญเลยกับการเป็นกำลังสำคัญช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2019/20
ปัจจุบัน ฟีร์มีโน วัย 31 ปี มีข่าวลืออย่างหนักว่าอาจถึงเวลาที่เขาต้องย้ายทีมอีกครั้ง รวมถึงการมาของ ดาร์วิน นูนเญซ ศูนย์หน้าคนใหม่ของทีม ที่อาจจะทำให้ตำแหน่งตัวจริงของเขา สั่นคลอน
อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ในเวลาที่ นูนเญซ ยังไม่อยู่ในฟอร์มที่ดี และภาพรวมของทีมเองก็ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานเดิม แต่ ฟีร์มีโน ก็ยังคงเป็น ฟีร์มีโน ที่ลงสนามเมื่อไหร่ทีมก็ยังคงฝากความหวังไว้กับเขาได้ หากสุดท้ายแล้วเขาต้องอำลาจากทีมไป คงเป็นอะไรที่แฟนลิเวอร์พูล เสียดายไม่น้อย
