ประวัตินักกีฬา

เจมี่ วาร์ดี้ ตำนานผู้พา จิ้งจอกสีน้ำเงิน ขึ้นชั้นเทพนิยาม และยังอยู่รับใช้สโมสรไม่ไปไหน

เจมี่ วาร์ดี้

เจมี่ วาร์ดี้ ถือเป็นอีกหนึ่งแข้งที่ควรค่ากับการได้รับคำยกย่องจากทัพ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ ซิตี้  เขาคือส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ คว้าแชปม์พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2015/16

 เจมี่ ริชาร์ด วาร์ดี้ เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 1987 ที่เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ โดย ริชาร์ด กิลล์ วาร์ดี้ คุณพ่อของเขามีอาชีพเป็นพนักงานคุมรถเครนตามสถานที่ก่อสร้าง ส่วน ลิซ่า วาร์ดี้ ผู้เป็นแม่มีอาชีพเป็นทนายความ ขณะที่ชีวิตในวัยเด็กของ วาร์ดี้ ต้องดิ้นรนตั้งแต่ยังเล็ก เขาเริ่มหารายได้มาช่วยเหลือครอบครัว ด้วยการเป็นพนักงานในโรงงานทำขาเทียม

 วาร์ดี เริ่มสนุกกับการได้เล่นฟุตบอลกับเพื่อนที่โรงงาน ไม่นานเขาจึงตัดสินใจเริ่มเข้าสู่วงการฟุตบอล ด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชนของ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ก่อนจะถูกปล่อยตัวตอนอายุได้ 16 ปี ทำให้ต้องย้ายไปเล่นกับ ทีมสำรองของ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ ซึ่งอยู่ใน ดิวิชั่น 8 หรือ ลีกต่ำสุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ ในปี 2003

 กระทั่ง ปี 2007 วาร์ดี้ ในวัย 20 ปี ได้ขยับเลื่อนขึ้นเป็น นักเตะในทีมชุดใหญ่ของ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ แต่ทว่าเขากลับได้รับค่าเหนื่อยเพียงแค่ 30 ปอนด์ (ประมาณ 1,618 บาท) ต่อสัปดาห์ ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงชีพ ทำให้ วาร์ดี้ จึงต้องกลับไปทำงานในโรงงานผลิตขาเทียมอีกครั้ง ควบคู่กับการเตะฟุตบอลไปด้วย

 แม้จะได้เล่นฟุตบอลในระดับสมัครเล่น แต่ เจมี่ วาร์ดี้ กลับโชว์ฟอร์ในสนามได้อย่างโดดเด่น เขามีสัญชาตญานในการทำประตู และความเร็วเป็นเลิศ ทำให้ในปี 2010 ฮาลิแฟ็กซ์ ทาวน์ ทีมในดิวิชั่น 7 ดึงตัวเขาไปร่วมทีม ก่อนที่ วาร์ดี้ จะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ และเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 6 ได้สำเร็จ ตั้งแต่ปีแรกที่ย้ายไป

เจมี่ วาร์ดี้

 

 หลังจากนั้นปีเดียว วาร์ดี้ ก็ได้ย้ายไปร่วมทัพ ฟลีตวูด ทาวน์ ทีมในดิวิชั่น 5 ในปี 2011 กระทั่ง จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ วาร์ดี้ ก็เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2012 เมื่อ เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมในลีก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ณ เวลานั้น ตัดสินใจคว้าตัว วาร์ดี้ ไปร่วมทีม ด้วยค่าตัวราว 1 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะจากนอกลีกอาชีพ ที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว อย่างไรก็ดี เขาเริ่มหลงระเริงกับรายได้ที่มีมากขึ้น เริ่มฉลองอย่างหนัก โดยมองว่านี่คือจุดสูงสุดในอาชีพของเขาแล้ว

 เจมี่ วาร์ดี้ เกือบจะเสียคนไปแล้ว ถ้าไม่ได้คุณกับ อัยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ในตอนนั้น ซึ่งจุดนั้นเอง ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้เขากลับตัวกลับใจ กลับมาตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อม และพัฒนาฝีเท้าตัวเอง 

 ในฤดูกาล 2012/13 วาร์ดี้ ลงเล่นให้ เลสเตอร์ ในศึก แชมเปี้ยนชิพ ไป 26 นัด ยิงไป 4 ประตู พร้อมช่วยให้ทีมจบในอันดับที่ 6 ของตาราง คว้าสิทธิ์ไปเล่นเพลย์ออฟ เพื่อเลื่อนชั้นขึ้นสู่ศึกพรีเมียร์ลีก ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็ต้องอกหัก หลังพ่ายให้กับ วัตฟอร์ด ในการเพลย์ออฟ อย่างไรก็ตาม วาร์ดี้ และทัพจิ้งจอกสีน้ำเงิน ไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เมื่อซีซั่น 2013/14 พวกเขาสามารถคว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพ พร้อมคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นสู่ศึก พรีเมียร์ลีก แบบอัตโนมัติได้สำเร็จ

ฤดูกาล 2014/15 ปีแรกในลีกสูงสุด วาร์ดี้ ต้องเผชิญกับความยากลำบากในลีกที่มีการแข่งขันที่เข้มขัน โดยเขายิงไปได้เพียง 5 ประตู จากการลงสนาม 34 นัดในลีก แต่ก็ยังดีที่สุดท้าย เลสเตอร์ ซิตี้ สามารถหนีตาย รอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ และจบในอันดับ 14 ของตาราง

 จุดสูงสุดในเส้นทางค้าแข้งของ วาร์ดี้ ก็มาถึงในซีซั่น 2015/16 ขุนพลเลสเตอร์ ซิตี้ ที่เพิ่งหนีตกชั้นในปีก่อนมาหมาดๆ กลับสร้างปาฏิหาริย์ คว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก ไปครอง ได้อย่างสุดมหัศจรรย์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แล้วก็เป็น เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกชาวอังกฤษรายนี้เอง ที่กลายเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จหลังระเบิดฟอร์ม ช่วยทีมยิงไปถึง 24 ประตู คว้าตำแหน่งรองดาวซัลโวของลีก พร้อมพาทีมเถลิงบังลังก์แชมป์อย่างยิ่งใหญ่ ราวกับในเทพนิยาย

 ปัจจุบันแม้เลสเตอร์ จะเริ่มถดถอยลงมาจากการเสียผู้เล่นหลักไปหลายคน แต่ วาร์ดี้ ก็ยังคงอยู่ช่วยทีมเหมือนเดิมไม่ไปไหน แน่นอนว่าเขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานที่ยิ่งใหญ่ของสโมสร

Click to comment

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Most Popular

To Top