พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร พล.ต.ต.สุระพรรณ นาทวรทัต ผบก.น4 พ.ต.อ.ก้องกฤษฎา กิตติถิระพงษ์ รอง ผบก.ตรวจสอบ และวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี บช.สอท. พร้อมด้วยคณะทำงาน ร่วมกันแถลงข่าวเตือนภัย แก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหลอกลวง นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม หรือ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ให้โอนเงิน สูญเงินไป 3.2 ล้านบาทเศษ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.อ.สมพงษ์ กล่าวว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-20 พ.ค.2566) มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุดยังเป็นคดีเดิม ๆ 5 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1.คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 2.คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 3.คดีหลอกลวงให้กู้เงิน 4.คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) และ 5.คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ พร้อมเชิญ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย มาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย
ต๋อง ศิษย์ฉ่อย กล่าวว่า ที่ผ่านมาก็ได้รับรู้ข่าวสารว่ามีมิจฉาชีพก่อเหตุหลอกลวงประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนก็พระมัดระวังตัวมาโดยตลอด แต่ก็มาพลาดจนได้ จึงอยากให้ตำรวจติดตามจับกุมมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์มาลงโทษให้ได้ เพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุกับคนอื่นอีก และอยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตน เป็นกรณีศึกษาเพื่อไม่ให้มีผู้อื่นตกเป็นเหยื่ออีก
ด้าน พ.ต.อ.ก้องกฤษฎา กล่าวว่า ภัยออนไลน์ในรูปแบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรศัพท์ข่มขู่ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและฟอกเงิน โดยมิจฉาชีพคนที่1 แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย โทรศัพท์หานายวัฒนา แจ้งว่าค้างชำระบัตรเครดิตธนาคาร หากไม่ได้ใช้บัตรเครดิต แสดงว่ามีบุคคลอื่นนำบัตรเครดิตไปใช้ และแนะนำให้ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ
ต่อสายโทรศัพท์ให้คุยกับมิจฉาชีพคนที่2 ซึ่งอ้างตนเป็น พ.ต.อ.เสฎฐวุฒิ รอดจันทร์ เนื่องจากเห็นว่าไม่สะดวกเดินทางไปแจ้งความ ระหว่างนั้น มิจฉาชีพคนที่ 3 ใช้บัญชีไลน์ ชื่อ สภ.เมืองนครสวรรค์ ส่งบัตรประจำตัว พ.ต.อ.เสฎฐวุฒิ มาให้ดูและแจ้งด้วยว่า ต๋อง ศิษย์ฉ่อย เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดและฟอกเงินพร้อมส่งบัญชีธนาคารของ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย มาให้ตรวจสอบและแจ้งว่าได้ขายสมุดบัญชีธนาคารที่ไม่ได้ใช้แล้วให้บุคคลอื่นในราคา 50,000 บาท และมีเงินจำนวน 850,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการขายยาเสพติดโอนเข้ามาในสมุดบัญชี
หากต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต้องโอนเงินมาตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากตรวจสอบแล้วไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดใดๆ จะโอนเงินคืน ต๋อง ศิษย์ฉ่อย หลงเชื่อจึงโอนเงินจากบัญชีธนาคาร 5 บัญชี จำนวน 10 ครั้ง เข้าบัญชี น.ส.สุดารัตน์ (ขอสงวนนามสกุล) และ น.ส.ชนกานต์ (ขอสงวนนามสกุล) รวมเป็นเงิน 3,202,380.7 บาท ให้มิจฉาชีพไป
สำหรับจุดสังเกตของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือ 1.โทรศัพท์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินต่างๆ แล้วเริ่มบทสนทนาพูดคุยโน้มน้าวให้หลงเชื่อ 2.อ้างสถานที่เกิดเหตุไกลจากบ้านหรือที่อยู่ผู้เสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายไม่อยากเดินทางไปสถานีตำรวจ และต้องการความสะดวกในการติดต่อทางโทรศัพท์ไลน์ หรือทางอื่น
3.แอบอ้างเจ้าหน้าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ ส่งบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ หรือหนังสือ ของทางราชการ ข่มขู่เพื่อให้เกิดความกลัว แล้วให้โอนเงินให้คนร้ายตรวจสอบ 4.มิจฉาชีพใช้บัญชีไลน์ส่วนบุคคล แต่ส่วนราชการหรือหน่วยงานรัฐใช้บัญชีทางการ (Line Official) และ 5.บัญชีรับโอนเงินของมิจฉาชีพเป็นบัญชีส่วนบุคคล แต่บัญชีส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือเอกชน เป็นบัญชีหน่วยงานหรือองค์กร
ส่วน วิธีป้องกัน คือ 1.ให้ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ของธนาคารเพื่อสอบถามข้อมูลโดยตรง เพราะธนาคารไม่มีนโยบายในการโทรศัพท์แจ้งให้ประชาชนโอนเงินไปตรวจสอบ หรือโหลดแอพพลิเคชั่น 2.กรณีอ้างหน่วยงานของ รัฐที่เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายให้โทรศัพท์สอบถามข้อมูลจากหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง 3.ให้นัดหมายไปพบเจ้าหน้าที่ เพื่อแจ้งความ สอบสวนปากคำ ชี้แจง หรือยื่นพยานเอกสารพยานวัตถุ ณ สถานที่เกิดเหตุหรือสถานที่ราชการด้วยตนเอง
4.ถ้ามีการสนทนาทางวิดีโอคอล ให้มีสติและสังเกตปากกับเสียงตรงกันหรือไม่ หรือ ภาพและท่าทางมีความผิดปกติหรือไม่ (คนร้ายสามารถใช้โปรแกรมปลอมใบหน้าขณะสนทนาได้)
ส่วน พล.ต.ต.สุระพรรณ กล่าวว่า ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม จนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหา บัญชีม้าแถวแรกได้แล้ว และออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติม พร้อมทั้งอายัดเงินในบัญชีม้าแถวที่ 2 – 4 รวมทั้งหมดจำนวน 11 ราย โดยนัดหมายให้มารายงานตัวในวันจันทร์ที่ 29 พ.ค.66 เวลา 10.00 น. และสอบปากคำ พ.ต.อ.เสฏฐวุฒิ ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์นำไปกล่าวอ้างในการหลอกลวง ต๋อง ศิษย์ฉ่อย โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ติดต่อโทรศัพท์พูดคุยกับผู้เสียหายแต่อย่างใด
สำหรับประชาชนเมื่อถูกหลอกหรือมีเหตุสงสัยว่าตกเป็นเหยื่อคดีออนไลน์ เช่น กรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน และแอพพลิเคชันควบคุมเครื่องโทรศัพท์แล้วโอนเงินออกไป ให้ประชาชนรีบดำเนินการ ดังนี้ 1.แจ้งธนาคารทันที ผ่านเบอร์ศูนย์รับแจ้งเหตุ hotline หรือที่สาขาเพื่อให้ระงับธุรกรรมชั่วคราว ช่วยตัดตอนเส้นทางการเงิน
2.แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างรวดเร็ว ผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ www.thaipoliceonline.com และต้องไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบสวนปากคำอีกครั้ง หรือเดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจท้องที่ใดก็ได้เพราะธนาคารระงับธุรกรรมชั่วคราวได้ไม่เกิน 72 ชั่วโมง โดยตำรวจจะแจ้งให้ธนาคารทราบเพื่อระงับธุรกรรมต่อไปอีก เพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้จาก เว็บไซต์ และเพจเตือนภัยออนไลน์ หรือโทรสายด่วน 1441