ชั่วโมงนี้คงไม่มีศูนย์หน้าคนไหนฮอตไปกว่า เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ อีกแล้ว หลังจากย้ายมาค้าแข้งกับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ยังคงความเป็นเครื่องจักรถล่มประตู และทำสถิติต่างๆไปแล้วมากมาย
ฮาลันด์ เกิดเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2000 ที่ ลีดส์ ประเทศอังกฤษ เขามีสายเลือดนักฟุตบอลอยู่เต็มขั้น เพราะเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ อัลฟ์-อิงเก้ ฮาลันด์ อดีตกองกลางชื่อดังของน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เด็กชายฮาลันด์ มีแววอัจฉริยะ ด้านกีฬามาตั้งแต่เด็กนอกจากฟุตบอลแล้วเขายังเล่นกีฬาชนิดอื่นไปด้วยทั้ง แฮนด์บอล กอล์ฟ กรีฑาประเภทลู่และลาน ซึ่งเขาเคยถูกบันทึกเป็นสถิติโลก หลังจากเป็นเด็กอายุ 5 ขวบที่กระโดดไกลได้ถึง 1.63 เมตรด้วย
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอล ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของเขา และครอบครัว ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฮาลันด์ ได้เข้าไปเป็นเด็กฝึกหัดของสโมสร บริน ในลีกนอร์เวย์ ซึ่งด้วยฝีเท้า และรูปร่างอันสูงใหญ่เกินเด็กวัยเดียวกัน ทำให้เขามักจะถูกจับไปเล่นในรุ่นอายุที่มากกว่าตัวเองอยู่เสมอ
เมื่ออายุได้ 15 ปี ฮาลันด์ ได้โอกาสขยับขึ้นไปเล่นในทีมสำรองของ บริน ก่อนจะโชว์ฟอร์มสุดยอดยิงไปถึง 18 ประตูจากการลงเล่นเพียง 14 นัด จากนั้นไม่นาน เมื่อ เกาต์ ลาร์เซน กุนซือทีมชุดใหญ่โดนลาออก ทำให้ทีมต้องดันโค้ชเยาวชนขึ้นมาคุมทัพแทน ซึ่งโค้ชคนนี้รู้ฝีเท้าของ ฮาลันด์ ดีอยู่แล้ว ทำให้ ฮาลันด์ ถูกดันขึ้นไปลองเล่นกับชุดใหญ่ ตั้่งแต่อายุ 15 ปี 9 เดือน
ในตอนแรก ฮาลันด์ ถูกจับไปเล่นทางริมเส้นเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังทำได้ไม่ดี ขณะที่โค้ชเองก็ให้โอกาสเขา พยายามเปลี่ยนมาเล่นกองหน้า แต่สุดท้ายก็ยังไม่ดีขึ้นลงเล่นไป 16 นัด ไม่สามารถยิงประตูได้เลยสักประตูเดียว
อย่างไรก็ตามด้วย พรสวรรค์ และรูปร่างที่ดี ทำให้ โอเล กุนนาร์ โซลชา ซึ่งเวลานั้นเป็นกุนซือของ โมลด์ เข้าทาบทามตัวเขา และคว้าตัว ฮาลันด์ ไปร่วมทีมในปี 2017
ช่วงแรก ฮาลันด์ ถูกจับลงปรับตัวกับทีมสำรองของ โมลด์ ก่อนจะลงไป 4 นัด ทำไป 2 ประตู จากนั้นจึงได้โอกาสลงเกมลีกนัดแรก ในฐานะตัวสำรอง ซึ่งเขาก็สามารถพังประตูชัย ให้ทีมได้ด้วย แต่ด้วยความที่ยังเด็ก และฟอร์มยังแกว่ง ทำให้ถูกส่งลงสนามในฐานะตัวจริงบ้าง สำรองบ้าง กระทั่งจบซีซั่นลงเล่นไป 20 นัด ยิงไป 4 ประตูเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลถัดมา ฮาลันด์ กลับมาเป็นคนละคน เขากลายเป็นตัวหลักของทีมด้วยวัยเพียง 18 ปี และสร้างสถิติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการ ยิงคนเดียว 4 ประตูโดยใช้เวลาเพียง 21 นาทีแรก, ยิงแฮตทริกภายในเวลา 11 นาที 2 วินาที หรือกระทั่งยิงคนเดียว 4 ประตูภายในเวลา 17 นาที 4 วินาที ก็ทำมาแล้ว ทำให้จบฤดูกาลนี้ เขากลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้ โมลด์ มากที่สุด ด้วยจำนวน 16 ประตู ทั้่งยังได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของลีกอีกด้วย
“ตอนเขาเล่นทีมเดียวกับผมที่ นอร์เวย์ บางทีเขาก็ไม่ยิงเลยเป็นสัปดาห์ ไม่ยิงแม้กระทั่งตอนซ้อม ทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะเขาอยู่เสมอ ตอนนั้นเขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง เขาดูไม่เวิร์กสักเท่าไหร่ แต่แล้ววันหนึ่งเขาเกิดป่วย และได้รับบาดเจ็บ ทำให้เราไม่ได้เจอเขานานมาก แต่พอเขากลับมา เขากลับมากลับมาแบบยิ่งใหญ่ จนไม่รู้จะพูดยังไง แถมยังตัวใหญ่ขึ้นด้วย เขากลายเป็นเหมือนสัตว์ร้าย เดินหน้าฆ่าทุกคนในสนามซ้อม เราเริ่มหัวเราะกันอีกครั้ง พลางถามกันว่า ไอ้นี่มันเป็นใครกันแน่” รูเบน กาเบรียลเซ่น กองหลังชาวนอร์เวย์ ที่ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับ ออสติน เอฟซี ในลีกสหรัฐอเมริกา พูดถึงสมัยที่เขายังร่วมทีมกับฮาลันด์ ในสโมสรโมลด์
ด้วยฟอร์มอันร้อนแรก ทำให้ เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ซ สโมสรยักษ์ใหญ่ในออสเตรีย คว้าตัวเขาไปร่วมทีม ซึ่งที่แห่งนี้ ฮาลันด์ สามารถพังประตูได้เป็นว่าเล่น ทั้งการยิงแฮตทริกแรกให้กับสโมสรในออสเตรียนคัพ ทำแฮตทริกแรกในออสเตรีย บุนเดสลีกา และที่ได้รับการจับตามองอย่างสูงสุดเลย คือการทำ แฮตทริกแรก ในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2019–20 ช่วยให้ ซัลซ์บวร์ก เอา ชนะเกงค์ ไปได้อีก 6-2
นอกจากนั้นยังยิงได้อีก 1 ประตูในเกมที่พบกับ ลิเวอร์พูล และอีก 2 ประตูกับ นาโปลี และเมื่อรวมกับอีก 1 ประตูที่ทำได้กับ เกงค์ อีกนัดก่อนหน้านั้น ทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนที่ 6 ต่อจาก อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่, เซอร์เก เรบรอฟ, เนย์มาร์, คริสเตียโน่ โรนัลโด และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ทำประตูในรายการนี้ได้ถึง 5 นัดติดต่อกัน
สรุปผลงานอันร้อนแรงเพียงฤดูกาลแรกกับ ซัลซ์บวร์ก ฮาลันด์ ทำไป 4 แฮตทริก 28 ประตู ใน 28 นัด รวมทุกรายการ จนกลายเป็นที่สนใจของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป ซึ่งตัวเต็งตอนนั้นเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สื่อประโคมข่าวกันยกใหญ่ แต่สุดท้ายกลายเป็น โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ ยอดทีมในบุนเดสลีก้า ที่เซอร์ไพรส์คว้าตัวเขาไปร่วมทีม ด้วยค่าตัวเพียง 20 ล้านยูโร เท่านั้น
หลังจากย้ายมาเล่นกับ ดอร์ตมุนด์ ฮาลันด์ ยังคงสร้างปรากฏการณ์อย่างต่อเนื่อง พิสูจน์ให้รู้ว่าเขาคือของจริง เพียงนัดแรกที่ลงสนามในฐานะตัวสำรอง เขาก็ซัดแฮตทริกทันที ในเกมที่เอาชนะ เอาก์บวร์ก 5-4 โดยใช้เวลาเพียง 34 นาทีเท่านั้น เท่านั้นไม่พอในนัดต่อมา เขาถูกส่งลงสนามในฐานะตัวสำรองเช่นเคย ทั้งยังทำอีก 2 ประตู ช่วยให้ทีมถล่ม โคโลญจน์ 5-1 ทำสถิติเป็นผู้เล่นคนแรกที่ยิงประตูในบุนเดสลีก้า 5 ประตู โดยใช้เวลาเพียง 2 นัด
ฮาลันด์ ก้าวขึ้นมาเป็นตัวแบกที่ ดอร์ตมุนด์ จะขาดไม่ได้ เขาได้สร้างสถิติพังประตูมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการ ยิงครบ 20 ประตู ในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เร็วที่สุดตลอดกาล ด้วยเวลาเพียง 14 นัด ทั้งยังยิงครบ 100 ประตูหลังจากลงเล่นไปเพียง 146 นัด สรุปรวมอยู่กับดอร์ตมุนด์ 3 ฤดูกาล ลงเล่น 67 นัด ฮาลันด์ ยิงไปถึง 62 ประตู ถือเป็นสถิติที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
ฮาลันด์ กลายเป็นเป้าหมายที่ทีมยักษ์ใหญ่ทั่วโลกหมายปอง และจ้องกันตาเป็นมัน กระทั่งเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้่ ที่เดินหน้าทุ่มเงินคว้าตัวเขามาด้วยมูลค่า 51 ล้านปอนด์ และเขาก็ยังคงความสุดยอดเช่นเดิม แม้จะผ่านไปเพียง 7 นัดในลีก แต่ก็ยิงไปแล้ว 11 ประตู นำเป็นดาวซัลโวอยู่ในขณะนี้ และหากนับทุกรายการเขาลงไปแล้ว 10 นัด ซัดไปแล้วถึง 14 ประตู พร้อมกับ สถิติมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการ ทำประตูในศึกพรีเมียร์ลีก ได้ครบทุกรูปแบบแล้ว ทั้ง เท้าซ้าย, เท้าขวา, ศีรษะ, ยิงในกรอบ 6 หลา, ยิงในกรอบเขตโทษ และยิงนอกกรอบเขตโทษ, ยิงประตูใน 5 นัดแรก ศึกพรีเมียร์ลีก ได้มากที่สุดที่ 9 ประตู ทำลายสถิติเดิมของ มิคกี ควินน์ และ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่เคยทำเอาไว้ 8 ประตูใน 5 เกมแรก, ทำสถิติยิงครบ 10 ประตูเร็วสุดในรอบ 30 ปี ของศึกพรีเมียร์ลีก เทียบเท่ากับ มิค ควินน์ อดีตกองหน้าของ นิวคาสเซิล ที่ทำไว้เมื่อเดือนธันวาคม 1992, กลายเป็นนักเตะที่ทำแฮตทริก 2 ครั้ง ในศึกพรีเมียร์ลีก ด้วยระยะเวลาเร็วที่สุด เพียง 5 นัด เท่านั้น ฯลฯ
คิดไม่ออกจริงๆ ว่า ฮาลันด์ จะแสดงความสุดยอด และสถิติอะไร ให้กับ “เรือใบสีฟ้า” รวมถึงแฟนบอลได้ทึ่งต่อไปอีก แต่ที่ยืนยันได้อย่างเดียวคือเวลานี้ เขาคือหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก อย่างไม่ต้องสงสัย