แม้จะผ่านไปหลายปีนับจากวันที่เขาแขวนสตั๊ด แต่ชื่อของ ซามูเอล เอโต้ ก็ยังคงเป็นที่จดจำในฐานะหนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลแอฟริกาและของโลก ตลอดเส้นทางค้าแข้งกว่า 20 ปี เอโต้ได้ฝากผลงานอันน่าทึ่งไว้มากมาย ทั้งการคว้าแชมป์ระดับสโมสร การเป็นดาวซัลโว และการนำทีมชาติแคเมอรูนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
ซามูเอล เอโต้ เกิดเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1981 ที่เมืองดูอาลา ประเทศแคเมอรูน เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวธรรมดา แต่มีความฝันยิ่งใหญ่ที่จะกลายเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก และแรงบันดาลใจของเขาคือการเป็นตัวแทนของแอฟริกาในเวทีระดับโลก
เอโต้เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับสโมสรเยาวชน Kadji Sports Academy ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์พัฒนาฟุตบอลชื่อดังของแคเมอรูน ก่อนจะย้ายไปสเปนในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เพื่อร่วมทีมเยาวชนของเรอัล มาดริด ในวัยเพียง 16 ปี แม้จะมีโอกาสเพียงน้อยนิดในทีมชุดใหญ่ของราชันชุดขาว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ และถูกส่งไปเก็บประสบการณ์กับทีมต่างๆ ทั้ง เลกาเนส, เอสปันญ่อล และมายอร์ก้า จนในที่สุดก็ถูกมายอร์ก้าคว้าตัวไปร่วมทีมอย่างถาวรในปี 2000
ผลงานของเอโต้กับมายอร์ก้าถือว่ายอดเยี่ยม โดยยิงไป 54 ประตูจาก 133 นัด และเป็นกำลังสำคัญพาทีมคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ ในปี 2003 ซึ่งจากฟอร์มอันร้อนแรงนี้ ทำให้เขาได้รับความสนใจจากหลายสโมสร ก่อนจะเซ็นสัญญาร่วมทีมบาร์เซโลนาในปี 2004 และนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอาชีพค้าแข้งของเขา
ในสีเสื้อของบาร์เซโลนา เอโต้คือหัวใจสำคัญของเกมรุก เขาประสานงานกับโรนัลดินโญ่, เดโก้ และต่อมากับลิโอเนล เมสซี จนพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกา 3 สมัย และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2 สมัย โดยในรอบชิงแชมเปียนส์ลีกปี 2006 และ 2009 เขาคือผู้ทำประตูเบิกร่องให้ทีมทั้งสองครั้ง โดยเฉพาะในปี 2009 ที่เขาอยู่ในทีมบาร์ซาชุดคว้าทริปเปิลแชมป์ภายใต้การคุมทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา
หลังจากนั้นในปี 2009 เอโต้ย้ายไปอินเตอร์ มิลาน ในดีลแลกตัวกับซลาตัน อิบราฮิโมวิช เขากลายเป็นกำลังหลักในยุคของโชเซ่ มูรินโญ่ และพาทีมคว้าทริปเปิลแชมป์ได้อีกครั้งในฤดูกาล 2009/10 ซึ่งทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าทริปเปิลแชมป์กับสองสโมสรในสองปีติดต่อกัน
เส้นทางของเอโต้หลังจากนั้นยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขาย้ายไปค้าแข้งกับทีมอันจิ มาคัชคาลา ในรัสเซีย ก่อนจะกลับมาอังกฤษกับเชลซีในฤดูกาล 2013/14 โดยยิงประตูสำคัญให้ทีมหลายครั้ง จากนั้นยังผ่านประสบการณ์กับ เอฟเวอร์ตัน, ซามพ์โดเรีย, อันทัลยาสปอร์, คอนยาสปอร์ และปิดท้ายอาชีพกับกาตาร์ เอสซี ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2019
ในระดับทีมชาติ เอโต้คือตำนานอย่างแท้จริง เขาลงเล่นให้แคเมอรูนไป 118 นัด ยิงได้ 56 ประตู เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีม พาทีมคว้าแชมป์แอฟริกัน คัพ ออฟ เนชันส์ 2 สมัย (2000 และ 2002) และเหรียญทองโอลิมปิก 2000 ที่ซิดนีย์ โดยเขาเป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญทั้งในและนอกสนาม
ปัจจุบัน เอโต้ผันตัวสู่บทบาทนอกสนามในฐานะประธานสมาคมฟุตบอลแคเมอรูน และยังคงมีบทบาทในการพัฒนาวงการฟุตบอลของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมเยาวชนในทวีปแอฟริกาให้มีโอกาสก้าวเข้าสู่เวทีระดับโลก
ซามูเอล เอโต้ ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์หน้าที่ทำประตูได้เฉียบคม แต่ยังเป็นผู้นำ ผู้สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นแบบอย่างของนักเตะจากทวีปแอฟริกาที่สามารถพิสูจน์ตัวเองในลีกใหญ่ของยุโรปได้อย่างยิ่งใหญ่และภาคภูมิใจ