เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานแถลงข่าวยืนยันการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 รายการ “เอฟไอวีบี วูเมนส์ เวิลด์ แชมเปียนส์ชิพ 2025” โดยมีนายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย, “โค้ชอ๊อต” นายเกียรติพงษ์ รัชตะเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย และอดีตนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยชุด 7 เซียน ร่วมแถลงข่าว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม-7 กันยายน 2568 ใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่, ภูเก็ต, นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร มีทั้งหมด 32 ทีม จากทุกทวีปทั่วโลก เข้าร่วมแข่งขัน แบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม กำหนดจับฉลากแบ่งสาย ในวันที่ 17 ธันวาคม 2567 เวลา 15.00 น. ที่โรงแรมเดอะ แกรนด์ โฟร์วิงส์ คอนเวนชั่น ถนนศรีนครินทร์ โดยจะได้เรียนเชิญนายกรัฐมนตรี มาเป็นประธาน
นายสรวงศ์ กล่าวว่า การจัดการแข่งขันรอบแรกจะมีการกระจายไปจัดตามหัวเมืองหลักด้านการท่องเที่ยวและกีฬา รวม 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, ภูเก็ต, นครราชสีมา และกรุงเทพมหานคร แต่ละจังหวัดจะมีทีมวอลเลย์บอล 2 สาย 8 ทีม ส่วนจะมีทีมใด สายไหนบ้างนั้นจะทราบหลังจากมีการจับฉลากแบ่งสายเรียบร้อยแล้ว ส่วนรอบ 16 ทีมสุดท้าย, รอบก่อนรองชนะเลิศ, รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ จะจัดที่อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก กรุงเทพฯ
นายสรวงศ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลนั้นมีแนวคิดการจัดอีเวนต์กีฬาระดับโลก ซึ่งทีมวอลเลย์บอลหญิงถือว่าสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอย่างยาวนาน มั่นใจว่าการแข่งขันครั้งนี้จะประสบความสำเร็จและมีคนไทยคอยติดตามเชียร์จำนวนมากอย่างแน่นอน
“ส่วนเรื่องงบประมาณที่คาดว่าต้องใช้เงินถึง 1.1 พันล้านบาท จริงๆ แล้วแค่ค่าลิขสิทธิ์ก็เกือบๆ 700 ล้านบาท และมีการขอเงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติเอาไว้ส่วนหนึ่ง ไหนจะมีเรื่องของเอกชนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมอีก ฉะนั้นใช้งบประมาณรัฐไม่ถึง 500 ล้านบาท อย่างไรก็ตามผลที่จะได้กลับมามันคุ้มค่าและประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้เลย โดยประมาณการตัวเลขที่จะได้ราวๆ 8.5 พันล้านบาท หรือการปลูกฝังเยาวชน สร้างแรงบันดาลใจไปสู่การสร้างนักกีฬารุ่นใหม่ขึ้นมาด้วย” นายสรวงศ์กล่าว
ด้านนายสมพร ใช้บางยาง กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมาคมฯ ค่อนข้างกังวลเพราะเปลี่ยนรัฐบาลมาถึง 3 ชุด จนในที่สุดก็มีการผลักดันจนได้เป็นเจ้าภาพในที่สุด แน่นอนว่าเรื่องความคุ้มค่านั้นประเมินไม่ได้อยู่แล้ว เพราะคนจะได้เห็นภาพการแข่งขันไปทั่วโลกกว่า 1,300 ล้านคน และยังแสดงให้เห็นศักยภาพของประเทศไทยที่จัดงานระดับโลกนี้ได้ด้วย