“จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ ซิตี้ เก็บชัยชนะนัดแรกในศึกพรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ ได้สำเร็จ หลังจากเปิดบ้านถล่ม น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 4-0 ซึ่งผู้ที่เป็นคีย์แมนสำคัญในเกมนี้คือ เจมส์ แมดดิสัน จอมทัพ หลายเลข 10 ของทีม ที่ระเบิดฟอร์มยิงไป 2 ประตู กับอีก 1 แอสซิสต์
เจมส์ ดาเนียล แมดดิสัน เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 1996 ที่เมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ เขาเติบโตขึ้นมาพร้อมกับน้องชายคนเล็ก อีกคน ภายใต้ครอบครัวที่อบอุ่น โดยที่บ้านของเขา และญาติๆคนอื่นๆส่วนใหญ่แล้วเป็นแฟนบอลตัวยงของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงตัวเขาเองด้วย
บ้านของ แมดดิสัน อยู่ห่างจาก โคเวนทรี ซิตี้ ฟุตบอล อะคาเดมี เพียง 2 นาทีเท่านั้นจากการเดินทางโดยรถยนต์ และด้วยความใกล้ชิดนี้ทำให้เขาได้รับอิทธิพลในการมีความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้
ด้วยความฝันที่ต้องทำให้สำเร็จ แมดดิสัน ขอให้คุณพ่อและคุณแม่พาเขาเข้าเรียนที่โรงเรียน ริชาร์ด ลี ซึ่งเป็นโรงเรียนพันธมิตรกับทีมเยาวชนของโคเวนทรี และในทุกเย็นหลังเลิกเรียนเขาต้องอยู่ซ้อมฟุตบอลอยู่เสมอ แม้ แมดดิสัน จะเป็นเด็กที่ตัวเล็ก แต่เขาก็มีทักษะฟุตบอลที่ดีกว่าคนอื่นๆ ทำให้เมื่ออายุ 9 ขวบ แมดดิสัน ก็ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่อะคาเดมีของ โคเวนทรี สำเร็จ
ในศูนย์ฝึกเยาวชนโคเวนทรี เด็กชายแมดดิสัน ยิ่งฉายแววการเป็นกองกลางตัวรุก และเพลย์เมกเกอร์ ออกมาให้ทุกคนได้เห็น แม้ตัวจะเล็ก แต่ก็สร้างสรรค์เกมได้เป็นอย่างดี จนได้รับการไว้วางใจให้สวมเสื้่อหมายเลข 10 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเขาคือ จอมทัพของทีมเยาวชน โคเวนทรี
“บทบาทของหมายเลข 10 ช่วยให้ผมสร้างตัวตน และช่วยทำประโยชน์ให้ทีมได้เป็นอย่างดี เพราะผมต้องขับเคี่ยวกับกองกลางตัวรับของคู่แข่งที่มีร่างกายที่ใหญ่โต และแข็งแกร่ง ที่ผ่านมาผมมักจะดูการเล่นของ ฟิลิปเป คูตินโญ แล้วนำมาปรับใช้” แมดดิสัน กล่าว
หลังจากฝึกฝนกับทีมอยู่นานจนอายุได้ 17 ปี แมดดิสัน ก็ถูกเรียกตัวให้ไปเล่นกับทีมโคเวนทรี ซิตี้ ชุดใหญ่ แต่ก็ยังไม่ค่อยได้รับโอกาสมากนัก เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนด้วย โดย 3 ฤดูกาลลงเล่นไป 24 นัด ยิงไป 4 ประตู แต่ด้วยพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวทำให้ ฤดูกาล 2016 เขาจะถูก นอริช ซิตี้ ในพรีเมียร์ ลีกอังกฤษ ดึงตัวไปร่วมทีม
ในปีแรกที่เซ็นสัญญากับ นอริช นั้น โคเวนทรี ต้นสังกัดเก่ายังยืมตัวเขาไว้ใช้งานก่อน 1 ปี ก่อนที่ในปีต่อมาจะถูกส่งไปอยู่กับ อาเบอร์ดีน ในลีกสูงสุดสก็อตแลนด์ ด้วยสัญญายืมตัวอีก 1 ปี และเมื่อไปเพิ่มกระดูกกลับจนแกร่งแล้ว แมดดิสัน กลับมาช่วยทีมที่ต้องตกชั้นลงมาอยู่ในแชมเปี้ยนชิพ ซึ่งฤดูกาลนี้เขากลายเป็นจอมทัพที่โดดเด่นที่สุดในแชมเปี้ยนชิพ ทำผลงานลงไป 47 นัด ยิงไป 15 ประตู ทั้งยังได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ แชมเปี้ยนชิพ และผู้เล่นแห่งปีของ นอริช ในฤดูกาล 2017/18 อีกด้วย
ด้วยผลงานอันกระฉ่อนนี้ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ยอมควักเงินจำนวน 20 ล้านปอนด์ คว้าตัว แมดดิสัน มาบัญชาเกมแดนกลาง ในฤดูกาล 2018 เป็นต้นมา จนถึงตอนนี้่เป็นเวลากว่า 5 ปี แล้วที่ แมดดิสัน กลายมาเป็นนักเตะคนสำคัญที่เลสเตอร์ จะขาดเสียไม่ได้ เขาพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 2020/21 และคอมมูนิตี ชิลด์ ปี 2021
ที่ผ่านมา แมดดิสัน มีข่าวกับทีมยักษ์ใหญ่หลายต่อหลายทีม รวมถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมรักของเขาในวัยเด็กด้วย แต่สุดท้าย แมดดิสัน ก็ยังคงอยู่โยงยาวกับเลสเตอร์ เรื่้อยมา ขณะที่กับทีมชาติ อังกฤษ แม้จะเพิ่งติดทีมไปได้แค่ เกมเดียว แต่ด้วยความสามารถของเขาก็ยังเป็นที่น่าข้องใจของแฟนบอลว่า เหตุใด แกเรธ เซาธ์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ จึงไม่ค่อยอยากจะเรียกใช้บริการของเขา
ในช่วงเวลาที่เลสเตอร์ กำลังย่ำแย่ แต่ แมดดิสัน ยังคงเฉิดฉาย เป็นความหวังให้กับแฟนบอลในการพาทีมสู่ชัยชนะ และลุ้นกันให้จงหนักเหลือเกิน เชื่อว่าแฟนบอลอังกฤษเกือบทุกคนคงเห็นตรงกันว่าเขามีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติอังกฤษ ไปลุยฟุตบอลโลก 2022