หากพูดถึงศูนย์หน้าที่ดีที่สุดในยุคนี้ ชื่อของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี หัวหอกวัย 34 ปี ของบาร์เซโลนา และทีมชาติโปแลนด์ คงเป็นชื่อแรกๆที่แฟนบอลนึกถึง
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1988 ที่กรุงวอร์ซอ เมืองหลวงของประเทศโปแลนด์ ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวนักกีฬาอย่างแท้จริง อิโวนา แม่ของเขาเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลเล่นในลีกโปแลนด์ ขณะที่ เคอร์ซิสซตอฟ คุณพ่อก็เป็นอดีตนักกีฬายูโด ส่วน มิเลนา น้องสาวเติบโตขึ้นมาเป็น นักวอลเลย์บอลทีมชาติโปแลนด์
สมัยยังเด็ก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ได้ลองเล่นกีฬาหลายประเภท แต่สุดท้ายการมีลูกบอลอยู่ที่เท้าของเขาคือสิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุด ขณะที่คุณพ่อและคุณแม่ซึ่งเป็นคนกีฬาอยู่แล้ว ก็สนับสนุนเขาเต็มที่ โดยเริ่มแรกได้พาเขาไปฝึกฝนกับ ปาร์ตีซานต์ เลสซโน ช่วงอายุ 8 ขวบก่อนที่ปีต่อมา จะได้ฝึกกับ เอ็มเคเอส เวอร์โซเวีย วอร์ซอว์
เป็นเวลากว่า 7 ปี ที่เลวานดอฟสกี ฝึกฝนกับ เวอร์โซเวีย ก่อนที่ในปี 2005 เขาจะมาเล่นให้กับ เดลตา วอร์ซอว์ แต่แล้วเรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้น ในปีเดียวกันนี้ คุณพ่อของเขาได้เสียชีวิตลง โดยที่ยังไม่ทันได้เห็น เลวานดอฟสกี ลงสนามในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ ทำให้เขา ที่ต้องช่วยลดภาระทางการเงินของคุณแม่ ตัดสินใจออกจากบ้าน และย้ายไปอยู่กับพี่สาวใน วอร์ซอว์ และย้ายไปอยู่กับ ลีเกีย วอร์ซอว์ ทู
เป้าหมายของ เลวานดอฟสกี คือการย้ายขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่อย่างเร็วที่สุด แม้เขาจะสร้างความประทับใจให้กับทีมได้อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังได้เป็นเพียงสำรอง เขาเริ่มคิดถึงการย้ายทีมอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครต้องการเขา ขณะที่ ลิเกีย วอร์ซอว์ ก็ไม่ได้เตือนอะไรเขาล่วงหน้าว่าจะไม่ต่อสัญญาเขาออกไป ทำให้หลังจับฤดูกาล 2006 เขากลายเป็นนักเตะฟรี เอเย่นต์ และไม่สามารถเข้าถึงการฝึกซ้อมที่มีมาตรฐานได้
อย่างไรก็ตามโชคยังดีที่ในเวลาต่อมา ซนิกซ์ ปรุสซคอฟ เป็นทีมที่ยื่นข้อเสนอให้กับเขา ก่อนที่จะใช้โอกาสครั้งนี้ได้อย่างคุ้มค่า เขาพาทีมไปรั้งอันดับ 3 ของลีกโปแลนด์ ทั้งยังทำ 15 ประตู เป็นดาวซัลโวของฤดูกาล 2006/07ก่อนที่ฤดูกาลต่อมาจะยิงอีก 21 ประตู จาก 31 นัด
ในปี 2008/09 เลวานดอฟสกี ย้ายไปสู่ เลข พอซนาน โดย 2 ฤดูกาล เขาทำไป 41 ประตู คว้าแชมป์ลีกสูงสุด 2009/10 แชมป์ โปลิช คัพ 2008/09 และซูเปอร์คัพ 2009 ทำให้ ฤดูกาล 2010/11 สร้างชื่อกระฉ่อนจนเป็นที่จับตา ก่อนจะเป็น โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ ที่ดึงเขาไปเล่นในบุนเดสลีก้า เยอรมนี
เลวานดอฟสกี ยังคงทำผลงานได้เหนือคำบรรยาย 4 ฤดูกาลกับ ดอร์ตมุนด์ เขาถล่มประตูเป็นว่าเล่นถึง 103 ประตู จาก 187 นัด คว้าแชมป์บุนเดสลีก้า 2 สัมย แชมป์ เดเอฟเบ โพคาล 1 สมัย แชมป์ซูเปอร์คัพ 1 สมัย และรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในปี 2012/13
เมื่อหมดความท้าทายกับ ดอร์ตมุนด์ ก็ถึงเวลาที่ เลวานดอฟสกี จะก้าวไปหาความสำเร็จในทีมที่ใหญ่กว่า เขาเลือก บาเยิร์น มิวนิก ยักษ์ใหญ่แห่งบุนเดสลีก้า เป็นเป้าหมายต่อไป และเมื่อมาอยู่กับทีมที่อุดมไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ ก็ยิงทำให้ความสามารถในการถล่มประตูของเขาสูงขึ้นไปอีก ตลอด 8 ฤดูกาลกับ “เสือใต้” เขายิงไป 344 ประตู จาก 375 นัด ทั้งกวาดรางวัลมากมายไม่ว่าจะเป็น แชมป์ บุนเดสลีก้า 8 สมัยติดต่อกัน, เดเอฟเบ โพคาล 3 สมัย, ซูเปอร์คัพ 4 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย และฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย ทั้งยังมีรางวัลส่วนตัวอีกนับไม่ถ้วน
ฤดูกาลล่าสุดนี้ ในช่วงท้ายของการค้าแข้ง เลวานดอฟสกี เลือกที่ย้ายมาซบ บาร์เซโลนา ในลาลีก้า สเปน ซึ่งเขาก็ยังคงมาตรฐานการผลิตสกอร์เช่นเดิมเมื่อทำไปแล้ว 18 ประตูจาก 19 นัด
ในส่วนทีมชาติโปแลนด์ เลวานดอฟสกี ติดชุดใหญ่มาตั้งแต่ปี 2008 ทำไปแล้ว 78 ประตูจาก 138 นัด แต่น่าเหลือเชื่ออยู่เหมือนกันว่าจอมถล่มประตูอย่างเขาจะยังไม่เคยเบิกสกอร์ในฟุตบอลโลก ได้เลย และใน เวิลด์คัพ 2022 ก็ดูเหมือนว่านี่อาจจะเป็นฟุตบอลโลก ครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการยิงประตูได้ในแมตช์ที่เอาชนะ ซาอุดีอาระเบีย 2-0 เขาถึงหลั่งน้ำตาออกมา ขณะที่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แม้จะพ่ายฝรั่งเศส 3-1 ในนาทีสุดท้ายของเกม เลวานดอฟสกี ก็เป็นคนยิงจุดโทษให้ทีมไล่เป็น 1-3 ก่อนที่เสียงนกหวีดจะดังขึ้น อาจจะน่าใจหาย แต่ก็สวยงามไม่น้อยที่ แอ็กชั่นสุดท้ายของ เลวานดอฟสกี ในฟุตบอลโลก จบลงด้วยการยิงประตูในฟุตบอลโลก ที่เข้าไฝ่ฝันมานาน ก็ดูไม่เลวเหมือนกันว่ามั้ย?