การแข่งขันเทนนิสชิงแชมป์โลกประเภททีมหญิง “บิลลี่ จีน คิง คัพ” รอบไฟนอลส์ ที่เมืองเซบียา ประเทศสเปน ซึ่งจะแข่งขันระหว่างวันที่ 12-20 พฤศจิกายน จะเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันเป็นแบบน็อกเอาต์เพื่อเพิ่มความสนใจให้กับทัวร์นาเมนต์มากขึ้น
โดยเดิมที บิลลี่ จีน คิง คัพ ไฟนอลส์ หรือ (เฟดคัพเดิม) จะใช้เวลาแข่งขัน 6 วัน มี 12 ทีมเข้าร่วม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม แชมป์กลุ่มจะเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ
อย่างไรก็ตามล่าสุด สหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ไอทีเอฟ) ยืนยันว่าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบของทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวเพื่อสร้างความน่าสนใจ และดึงดูดใจให้กับการแข่งขัน รวมถึงสร้างช่วง 2 สัปดาห์แห่งการแข่งขันเทนนิสเวิลด์คัพ เนื่องจากการแข่งขันกินเวลา 9 วัน และจะคาบเกี่ยวกับการแข่งขันเทนนิส “เดวิสคัพ” ของฝ่ายชายด้วย เนื่องจาก “เดวิสคัพ ไฟนอลส์ 8” จะแข่งที่เมืองมาลากา ประเทศสเปน เช่นกัน โดยทำการแข่งขันระหว่างวันที่ 19-24 พฤศจิกายน
นอกจากจะเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับการแข่งขันแล้ว การเปลี่ยนแปลงโปรแกรมแข่งขันและรูปแบบยังเอื้อประโยชน์ให้นักหวดชั้นนำของโลกสามารถเดินทางไปรับใช้ชาติได้
เนื่องจากปีที่แล้วโปรแกรมแข่ง “ดับเบิลยูทีเอ ไฟนัลส์” กับบิลลี่ จีน คิง คัพ ไฟนัลส์ กระชั้นชิดกันมากจนนักเทนนิสมือท็อปหลายคนต้องถอนตัว อาทิ อีกา สเวียเต็ก มือ 1 โลกชาวโปแลนด์ซึ่งไม่ได้ลงแข่งให้บ้านเกิดทั้งปี 2022 และ 2023 แต่สำหรับปีนี้ ดับเบิลยูทีเอ ไฟนอลส์ ที่ซาอุดีอาระเบีย จะปิดฉากก่อนศึกบิลลี่ จีน คิง คัพ ไฟนอลส์ 3 วัน จึงมีเวลาเดินทางไปเตรียมตัว
สำหรับการแข่งขันรูปแบบใหม่ใช้วิธีประกบคู่แบ่งสายแข่งขัน โดยมี 12 ทีมเข้าร่วม ทีมวาง 4 อันดับแรกได้บายในรอบแรก ส่วนอีก 8 ทีมแข่งขันรอบแรกเพื่อเข้าไปพบกับ 4 ทีมวางในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยจะจับสลากแบ่งสายในวันที่ 30 เมษายน
ถึงกระนั้นก่อนหน้านี้ บิลลี่ จีน คิง ตำนานนักหวด เจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 39 สมัย ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า อยากเห็นการแข่งขัน “บิลลี่ จีน คิง คัพ” และ “เดวิสคัพ” ควรจะรวมกันเป็นรายการเดียว เพราะอยากให้มีการแข่งขันเวิลด์คัพของเทนนิส และทุกคนในโลกนี้เข้าใจคำว่าเวิลด์คัพที่เป็นการเจอกันของทีมชาติที่นักกีฬาผู้หญิงกับผู้ชายแข่งขันในรายการเดียวกัน
